logo-heading

ทั้งเรื่องของผลการแข่งขัน และสถานการณ์ที่พลิกผันไป-มา ก่อนบทสรุปจะเป็นทัพ "หงส์แดง" ที่กรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ เข้าไปยืนรอแบบหล่อๆ รอพบผู้ชนะระหว่าง เรอัล มาดริด หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราก็ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจจากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาว่ามีไฮไลท์จุดไหนบ้างที่ควรแกการหยิบมาพูดถึง ไปติดตามกันได้เลย

การจัดทัพ

ย้อนกลับไปเกมนัดแรกที่หวดกันที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล ตุนความได้เปรียบเนื่องด้วยชนะมาได้ก่อน 2-0 แต่ทว่าก่อนเกม เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้ออกมากระตุ้นลูกทีมว่าห้ามประมาทแบบเด็ดขาด เพราะ บียาร์เรอัล พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่าพวกเขานั้นตายยาก และเคยเขี่ยทั้ง ยูเวนตุส และ บาเยิร์น มิวนิค มาแล้ว

ส่วนทางฝั่งทัพ "เรือดำน้ำสีเหลือง" ก็จัดการกระตุ้นโหมโรงเกมนี้แบบเต็มอัตราศึกหวังพลิกสถานการณ์ให้ได้ทั้ง อูไน เอเมรี่ ผู้เป็นกุนซือ รวมไปถึงนักเตะก็แสดงความฮึกเหิมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

ส่วนการจัดทัพเกมนี้เจ้าบ้านอย่าง บียาร์เรอัล ก็จัดเต็มขนผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนามนำมาโดย เปา ตอร์เรส, โจวานนี่ โล เซลโซ่, ดานี่ ปาเรโฆ่ และ เคราร์ด โมเรโน่

ข้ามที่ฝั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่สภาพทีมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก อาจมีการปรับเปลี่ยนนักเตะบางตำแหน่งจากเกมลีกเมื่อสุดสัปดาห์ ฟูลแบ็คอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง แดนกลางประกอบไปด้วย ติอาโก้ อัลกันทาร่า, ฟาบินโญ่ และ นาบี เกอิต้า ส่วนสามประสานแดนหน้าเป็นหน้าที่ของ ซาดิโอ มาเน่, ดิโอโก้ โชต้า และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

หลังเกม หงส์แดง พลิกนรก บุกไล่แซง บียาร์เรอัล เข้ารอบชิง ชปล.

ครึ่งแรกของ บียาร์เรอัล

สิ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าเกมนี้ บียาร์เรอัล เริ่มต้นด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือมากกว่าต้องการทำประตูออกนำให้ได้เร็วที่สุด พยายามเดินหน้าเข้าบีบจังหวะเหล่าพลพรรคทัพ "หงส์แดง" ซึ่งมันค่อนข้างได้ผล นักเตะของผู้มาเยือนแสดงอาการออกมาให้เห็นทั้งการจ่ายบอลพลาด, บอลสั้น-ยาว ไม่มีให้เห็น รวมไปถึงบอลไปไม่ถึงแดนหน้า

ซึ่งวิธีการไล่บีบตั้งแต่แดนบนของ บียาร์เรอัล มันก็ส่งผลให้พวกเขาชิงขึ้นนำไปก่อนถึง 2-0 แน่นอนนี่คือผลการแข่งขันที่แฟนบอลต้องการ อย่างน้อยในสกอร์รวมก็ให้กลับมาเท่ากันก่อน และค่อยไว้ว่ากันต่อในอีก 45 นาทีที่เหลือในครึ่งหลัง

แต่ทว่าสิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่น้อยสำหรับลูกทีมของ เอเมรี่ คือการวิ่งไล่เพรสแบบไม่หยุดหย่อนตลอด 45 นาทีแรก จะส่งผลมากขนาดไหนในช่วงเวลาที่เหลือ เพราะต้องยอมรับว่าพวกเขาเดินหน้าแบบเต็มอัตรา โขยกใส่คู่แข่งแบบสุดชีวิต เปรียบไปนักเตะ บียาร์เรอัล นัดนี้เหมือนมี 8 ปอด พร้อมถังอ็อกซิเจนติดตัว

ถ้าเปรียบเป็นมวย 45 นาทีแรก บียาร์เรอัล สามารถชนะน็อกได้แบบสวยงาม แต่ทว่าฟุตบอลมีถึงให้เล่น 2 ครึ่ง ฉะนั้นทุกอย่างยังคงพลิกสถานการณ์ได้อยู่เสมอ


ครึ่งหลังที่แตกต่าง

สกอร์บอร์ดบ่งบอกว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเท่ากันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ดูเหมือน ลิเวอร์พูล อาจถือไพ่เหนือกว่าอยู่เล็กๆ คือความเจนจัดของ คล็อปป์ และตัวสำรองข้างสนามที่สามารถเปลี่ยนรูปโฉมของเกมนี้ไปได้

ออกสตาร์ทครึ่งหลังการแก้เกมครั้งแรกเกิดขึ้นทันที หลุยส์ ดิอ๊าซ ถูกส่งลงสนามแทนที่ของ ดิโอโก้ โชต้า และนั้นกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นแรกที่ลงไปป่วนกองหลังของ บียาร์เรอัล ให้หัวปั่นเป็นอย่างมาก และเมื่อบวกกับสภาพร่างกายของนักเตะ บียาร์เรอัล ที่บดขยี้มาเต็มสูบแล้วในช่วงครึ่งแรก ทำให้การลงมาของ ดิอ๊าซ กลายเป็นโจ๊กเกอร์เปลี่ยนรูปโฉมของเกม

จะว่าไปเกมนี้เจ้าบ้านก็ไม่ได้เล่นแย่ หรือต่ำกว่ามาตรฐานอะไรนักหรอกครับ แต่ทว่าด้วยความที่ฟุตบอลมันมีให้เล่นกัน 2 ครึ่ง บวกกับแท็คติกใน 90 นาที รายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ นั้นคือความแตกต่างของทีมในค่ำคืนวันนี้

ไม่ผิดที่ เอเมรี่ จะกำชับให้ลูกทีมเดินหน้าไล่บดตั้งแต่นาทีแรก เพราะโจทย์ข้อใหญ่คือการรัวให้ได้ 2 ประตูด้วยระยะเวลาที่เร็วที่สุด แต่ทว่าหลังจากนั้นทีม และคุณก็ต้องรับให้ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะคู่แข่งตรงหน้าอย่าง ลิเวอร์พูล มีหมากให้เลือกเดิน และถ้าไม่เพอร์เฟคตลอด 90 นาที ก็ยากจริงๆ ที่จะกินพวกเขาได้ลง

หลังเกม หงส์แดง พลิกนรก บุกไล่แซง บียาร์เรอัล เข้ารอบชิง ชปล.

เข้าชิงอีกครั้งของ คล็อปป์

ชื่อของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถูกยกย่องว่าให้เป็นโคตรกุนซือของวงการลูกหนัง ณ วินาทีนี้ จากผลงานสุดเลื่องชื่อตั้งแต่สมัยอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ก่อนที่จะเนรมิตรให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นโคตรทีมในยุคปัจจุบัน

ส่วนการกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 4 ในชีวิตกุนซือของ คล็อปป์ ย้อนกลับเขาเคยเข้ามายืนในจุดนี้กับ ดอร์ทมุนด์ ครั้งแรกเมื่อปี 2013 ก่อนที่จะยิงยาว 3 ครั้งกับ "หงส์แดง" คือปี 2018,  2019 และ 2022 โดย 3 ครั้งก่อนหน้านี้กุนซือรายนี้ซิวโทรฟี่มาครองได้ 1 ครั้ง เมื่อปี 2019 เป็นการซิวถ้วยยุโรปครั้งแรกของเจ้าตัวในชีวิตสายงานโค้ชอีกด้วย

ซึ่งในจำนวนที่ได้เข้าชิง 4 ครั้งนั้น เป็นการเทียบเท่ากับ มาร์เชลโล่ ลิปปี้, เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ คาร์โล อันเชล็อตติ แน่นอนแต่ละชื่อที่กล่าวมาเข้าทำเนียบตำนานของวงการทั้งสิ้น และ คล็อปป์ เองก็คงจะไม่ต่างกัน

บียาร์เรอัล อกหักอีกครั้ง

นี่คงจะเป็นม้ามืดที่ใครก็ต่างไม่คาดคิดว่าจะกรุยทางเข้ามาถึงรอบนี้ เพราะด้วยชื่อชั้นของคู่แข่งในรอบก่อนหน้านี้ทั้ง ยูเวนตุส หรือ บาเยิร์น มิวนิค เป็นต่อพวกเขาทั้งหมด แต่ทัพ "เรือดำน้ำสีเหลือง" ก็หักปากกาทุกด้ามของเหล่ากูรูกรุยทางมายังรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

ซึ่งนี่คือครั้งที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ได้เข้าสู่รอบรองชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ลีก ส่วนครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2006 แต่ทว่าก็ต้องอกหักแพ้ทีมจากอังกฤษเช่นกันอย่าง อาร์เซน่อล ตกรอบไปอย่างเจ็บปวด ส่วนคราวนี้ก็เช่นกันที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และชีช้ำกับการหยุดเส้นทางในรอบ 4 ทีมสุดท้าย

แต่ทว่าถ้ามองย้อนกลับไปนี่คือฤดูกาลที่ บียาร์เรอัล เองมีผลงานในแชมเปี้ยนส์ลีกโดดเด่นไม่ใช่น้อย และน่าจะเป็นห้วงเวลาที่แฟนบอลของพวกเขาน่าพอใจพอสมควร แม้จะไปไม่ถึงปลายทาง แต่ผลงานถือว่าน่าจดจำเป็นอย่างมาก


- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline