logo-heading

ระหว่าง เชลซี, อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 3 ทีมจากเมืองหลวงกรุงลอนดอน ท้ายที่สุดแล้วจะมีแค่ 2 ทีมที่สมหวังกับตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และอีกหนึ่งทีมต้องระเห็จตกไปเล่นใน ยูฟ่า ยูโรป ลีก วันนี้สิ่งที่ "ขอบสนาม" อยากนำเสนอก็คือการพาทุกท่านไปอัพเดทสถานการณ์, หนทางและความน่าจะเป็นในช่วง 2 เกมสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก กันครับ

เชลซี

เริ่มกันที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี กันก่อนเลย พวกเขาครองตำแหน่งพื้นที่อันดับ 3 บนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก ก็ถือว่านานพอสมควรจนใครต่อใครต่างก็รับประกัน 100 เปอร์เซนต์ยังไงทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็จะได้โควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แน่ๆ 

แต่ในช่วง 1 เดือนมานี้ทั้งคู่แข่งอย่าง อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสปอร์ ต่างก็มีผลงานที่ดีขึ้น เก็บชัยชนะได้รัวๆ จนทำแต้มไล่จี้มาติดๆ บวกกับการสะดุดทำแต้มหล่นในช่วง 3 นัดก่อนจะกลับมาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-0 มันก็เลยทำให้ เชลซี ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ปลอดภัยอีกต่อไป 

พลพรรค "สิงโตน้ำเงินคราม" มักจะมีจุดบอดในเรื่องของความรัดกุม ไม่มีใครเถียงได้ว่าพวกเขาคือทีมที่มีเกมรับดีที่สุดเป็นเบอร์ต้นๆ ของลีก แต่ยามที่ได้เปรียบในเรื่องผลสกอร์พวกเขากลับประมาทและไม่สามารถรักษาผลการแข่งขันเอาไว้ได้

ยกตัวอย่างนัดเจอ ไบร์ทตัน ทั้ง 2 นัดเหย้าเยือน เชลซี นำก่อนแต่ก็จบลงด้วยผลเสมอทั้งหมด, นัดเจอ เบรนท์ฟอร์ด ก็นำก่อนแต่สุดท้ายกลับมาแพ้ 1-4 คาบ้าน, เกมเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เล่นได้เหนือกว่า ทั้งครองบอล ครองเกมและสร้างสรรค์โอกาสพวกเขาก็นำก่อนแต่จบลงด้วยผลเสมอ 1-1

ตลอดจนเกมล่าสุดกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อนถึง 2-0 ในช่วง 60 นาที แต่กลับโดนตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ถ้าเกิดเกมนั้น เชลซี ไม่พลาด 3 คะแนนป่านนี้พวกเขาคงได้ตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองเรียบร้อยแล้ว

การลงเล่น 36 นัด มี 70 คะแนน มีลูกได้เสียบวกอยู่ 42 ประตู มีแต้มนำ "ไอ้ปืนใหญ่" อยู่ 4 คะแนน และทิ้ง "ไก่เดือยทอง" อยู่ 5 คะแนน ในช่วง 2 เกมที่เหลือ เชลซี ก็ยังดูมีโอกาสมากกว่าใครเพื่อนสำหรับการจบอันดับ 3-4 เพราะพวกเขามีคิวเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และ วัตฟอร์ด แถมทั้ง 2 นัดยังเป็นการเล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทั้งหมด

การเผชิญหน้ากับ "จิ้งจอกสยาม" น่าจะดูเป็นด่านที่หนักใจที่สุดในช่วง 2 เกมสุดท้าย แต่เงื่อนไขของ เชลซี ก็คือการชนะอีกเพียงนัดเดียวก็จะการันตีว่าได้โควต้า ยูซีแอล แน่นอน ถ้าเกิดสมมติพวกเขาดันเก็บได้เพียงแค่ 1 แต้มจาก 2 นัดก็ยังมีโอกาสสูงกว่าอยู่ดีต่อให้อีก 2 คู่แข่งจะเก็บได้ 6 แต้มเต็มก็ตาม เพราะอย่างที่ทราบกันว่า เชลซี มีลูกได้เสียบวกอยู่ 42 ซึ่งทิ้ง อาร์เซน่อล อยู่ 31 ลูก และทิ้ง สเปอร์ส อยู่ 19 ประตู

เงื่อนไขเพียงข้อเดียวที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี จะไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าก็คือการแพ้ตลอด 2 นัดสุดท้าย และ อาร์เซน่อล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เก็บได้ 6 แต้มเต็ม ถึงจะมีความเป็นไปได้อยู่แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน

อาร์เซน่อล

ถ้าเกิดเมื่อวานนี้ อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายกำชัยได้ในศึก นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ ทุกอย่างก็จะจบลงทันทีเลย เพราะพวกเขาจะเป็นทีมที่ 4 ที่ควงแขน แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า แต่ดูเหมือนโชคชะตายังอยากที่จะเล่นสนุกต่อไปและให้ลุ้นกันต่อในช่วง 2 เกมสุดท้าย

จนถึงตอนนี้มันไม่มีทางเลือกแล้วสำหรับไอ้ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล พวกเขาจำเป็นต้องเก็บให้ได้ 6 แต้มเต็มในช่วง 2 เกมสุดท้ายโดยไม่ต้องพะวงกับผลการแข่งขันของ 2 คู่แข่งไม่ว่าจะเป็น สเปอร์ส หรือ เชลซี แต่ถ้าดูจากโปรแกรมที่ต้องเจอก็ถือว่าไม่ใช่งานที่ง่ายเลยเพราะพวกเขาต้องไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และปิดด้วยการกลับมาเล่นที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เจอกับ เอฟเวอร์ตัน

ที่บอกว่ามันไม่ง่ายก็เพราะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ตอนนี้เป็นทีมที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแบบเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ได้ เอดดี้ ฮาว เข้ามาเป็นคนบัญชาทัพ เขาเป็นคนที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์จากทีมที่จมอยู่ในโซนสีแดงจนไต่ขึ้นมาอยู่อันดับ 14 พร้อมกับการันตีว่ารอดตายแบบ 100 เปอร์เซนต์

ถ้าไม่นับ 2 เกมล่าสุดที่โดนยัดเยียดความปราชัยโดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ทาง นิวคาสเซิ่ล ก็จัดว่าเป็นทีมที่ผลงานดีมากๆ จากการชนะได้ 4 เกมติด แถมสถิติการเล่นในบ้านก็น่ากลัวไม่เบาเหมือนกัน ถ้าไม่นับเกมกับ "หงส์แดง" พวกเขาไม่แพ้ใครเลยตลอด 8 นัดและเก็บชัยชนะได้ถึง 6 เกม แน่นอนว่าเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าทีมของ มิเกล อาร์เตต้า จะได้ 3 คะแนนจากเกมๆ นี้หรือไม่ ถึงแม้สถิติการเจอกันที่ผ่านมาเฮดทูเฮดจะเหนือกว่ามากก็ตาม

ส่วน เอฟเวอร์ตัน ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ถึงจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างเยอะ แต่ช่วงหลังก็มีลูกฮึดให้เห็นเหมือนกัน เก็บแต้มได้รัวๆ ในช่วงที่กำลังดิ้นรนหนีตายอย่างหนัก ถ้าไม่นับเกมเจอ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็เก็บชัยชนะได้ถึง 3 จาก 5 เกมและไม่แพ้ใครเลย และเพื่อความอยู่รอดพวกเขาก็จำเป็นต้องเน้นมากๆ ในช่วง 3 เกมสุดท้าย แน่นอนว่านี่จึงไม่ใช่งานที่ง่ายสำหรับ อาร์เซน่อล ในการคว้า 3 คะแนน

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ผ่านด่านที่หินที่สุดมาได้แล้วในช่วงโค้งสุดท้ายของการล่าโควต้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า ไล่จากการอัด เลสเตอร์ ซิตี้ 3-1, บุกไปแบ่งแต้มกับ ลิเวอร์พูล จากการเสมอ 1-1 และล่าสุดก็สามารถล้างตาคู่อริตลอดกาลอย่าง อาร์เซน่อล ได้สำเร็จจากการขยี้ไปแบบขาดลอย 3-0 ตอนนี้ทำแต้มไล่จี้ "ไอ้ปืนใหญ่" มาเหลือ 1 คะแนนแล้ว

แน่นอนว่าโอกาสของ สเปอร์ส ยังน้อยกว่า เชลซี และ อาร์เซน่อล หากพูดถึงการจบพื้นที่ 4 อันดับแรก แต่ถ้าหากดูจากโปรแกรมช่วง 2 นัดสุดท้ายเมื่อเทียบกับทางพลพรรค "เดอะ กันเนอร์ส" แล้วขอบอกเลยว่าเจอกับงานที่เบากว่าเห็นๆ โดยทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ จะได้เฝ้ารัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม เจอกับ เบิร์นลี่ย์ และปิดท้ายด้วยการไปเยือนทีมที่ตกชั้นไปแล้วอย่าง นอริช ซิตี้

จริงอยู่ที่ เบิร์นลี่ย์ ทำผลงานได้เข้าตามากๆ ตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมาทำให้พวกเขามีโอกาสมากขึ้นในการอยู่รอดบนสังเวียน พรีเมียร์ลีก แน่นอนว่านี่อาจไม่ใช่งานที่ง่ายเท่าไหร่สำหรับ สเปอร์ส แต่การได้เล่นต่อหน้าแฟนๆ ในถิ่นที่คุ้นเคยบรรยากาศก็น่าจะเป็นใจให้กับพวกเขา

ยิ่งชั่วโมงนี้ แฮร์รี่ เคน กับ ซน ฮึง-มิน ฟอร์มกำลังเข้าฝัก แถมทั้ง 2 คนก็มีสถิติที่ดีในการเจอกับ เบิร์นลี่ย์ อีกต่างหาก โดยทาง ซน เจอกับ เบิร์นลี่ย์ มา 11 นัด ยิงได้ 3 ประตู ทำ 3 แอสซิสต์ ส่วน แฮร์รี่ เคน เจอกับ เบิร์นลี่ย์ มา 14 นัด ยิงได้ 9 ประตู ทำ 3 แอสซิสต์ ดูแล้วก็มีโอกาสสสูงที่ สเปอร์ส จะได้ 3 คะแนนตามเป้าถ้าไม่ทำพลาดเสียเอง

ส่วน นอริช ซิตี้ ตกชั้นไปแล้ว นี่คือทีมได้ชื่อว่าเป็นทีมที่พร้อมแจกแต้มให้กับทีมใหญ่ๆ เกบรับก็พร้อมเสียประตูทุกเมื่อ การโดนยิงไปถึง 78 ประตูในปีนี้เป็นเครื่องที่น่าจะการันตีได้ว่าถ้าเจอกับแนวรุกอันจัดจ้านของ สเปอร์ส ชั่วโมงนี้น่าจะรอดยากอยู่เหมือนกัน

เงื่อนไขเดียวของ สเปอร์ส ไม่ต่างจาก อาร์เซน่อล นั่นก็คือต้องเก็บให้ได้ 6 คะแนนเต็มจาก 2 นัดที่เหลือ ถึงโอกาสจะน้อยกว่า แต่ถ้าวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ถึงองค์ประกอบต่างๆ โดยเฉพาะศักยภาพในแนวรุกกับคู่แข่งที่เจอมองว่า อาร์เซน่อล มีโอกาสที่จะสะดุดมากกว่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

HaMu Dos Santos

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline