logo-heading

ในตลาดหน้าหนาวที่พึ่งผ่านมา ทีมจากพรีเมียร์ลีก ใช้เงินซื้อนักเตะรวมกัน มากกว่าทุกสโมรใน 4 ลีกใหญ่ยุโรปอื่นรวมกันถึง 570 ล้านยูโร ฟังอีกครั้งครับ มากกว่าลีกอื่นรวมกันถึง 570 ล้านยูโร!

และไม่ใช่แค่ เชลซี ที่ช็อปติดอันดับ เพราะท็อป 10 ทีมที่ใช้เงินมากที่สุดในตลาดมกราคม 2023 มีทีมจาก พรีเมียร์ลีก ติดอันดับถึง 9 ทีม! 

โดยแค่ทีมหนีตกชั้นอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมเดียว ก็ใช้เงินพอ ๆ กับทั้ง 40 สโมสรจาก ลาลีกา และ เซเรีย อา รวมกันแล้ว!

แถมเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ล่าสุดแต่อย่างใด เพราะนี่นับเป็นตลาดที่ 2 ติดต่อกันแล้ว ที่สโมสรจากพรีเมียร์ลีก ลีกเดียว ใช้เงินซื้อนักเตะมากกว่าลีกใหญ่ลีกอื่นรวมกัน!

และหากนับทั้งฤดูกาล ก็นับเป็นซีซั่นที่ 20 ติดต่อแล้ว ที่ พรีเมียร์ลีก ‘เป็นลีก’ ที่ใช้เงินซื้อนักเตะมากที่สุดเหนือลีกอื่น หรือนับตั้งแต่ฤดูกาล 2002-03 เป็นต้นมาเลยล่ะครับ

นั่นจึงตามมาด้วยคำถามว่า ทำไม ทีมพรีเมียร์ลีก ถึงสามารถใช้เงินได้เยอะกว่าลีกอื่น ? และแน่นอนวันนี้ ขอบสนาม ของเรา จะพาไปตอบคำถามนี้ ด้วยสาเหตุหลัก ๆ 3 ข้อครับ …

1. คีย์หลัก : ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด

แน่นอนว่าการมีรายรับมากกว่า คือสาเหตุที่ทำให้ใช้เงินได้มากกว่า และกุญแจหลักของ พรีเมียร์ลีก ก็คือการได้รับค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดในระดับมหาศาล

พรีเมียร์ลีก มีการสร้างแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยม เริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 พวกเขาได้ฐานแฟนบอลที่แข็งแกร่ง ทั้งในเอเชีย และสหรัฐอเมริกา

กลายเป็นลีกระดับเวิลด์ไวด์ หรือเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มากกว่าลีกอื่น จึงส่งให้ พรีเมียร์ลีก สามารถเพิ่มรายได้การขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ช่วยพให้วกเขาได้เซ็นสัญญาก้อนงามกับบริษัท, ช่องทีวี ทั้งในประเทศ และนอกยุโรป

ยกตัวอย่าง ในฤดูกาลนี้ พรีเมียร์ลีก จะได้รับค่าถ่ายทอดสดมากถึง 3,470 ล้านยูโร มากกว่าอันดับ 2 อย่าง ลาลีกา ถึง 2.5 เท่า และมากกว่า เซเรีย อา เกือบ 3 เท่า!

และการเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุด ยังทำให้ พรีเมียร์ลีก สร้างรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เช่น จากสปอนเซอร์, การขายสินค้า และการบริการ มากกว่าลีกฟุตบอลอื่น ๆ ด้วย

 

2. เลื่อนชั้น = ได้แจ็คพ็อต

เคยมีสื่อกล่าวไว้ ว่าแมตช์การแข่งขันเพลย์ออฟจาก แชมเปี้ยนชิพ สู่ พรีเมียร์ลีก ถือเป็นแมตช์ที่มีการเดิมพันเรื่องรายรับมากที่สุดในโลก

เพราะข้อมูลจาก ดิ แอธเลติก สื่อดังอังกฤษ ระบุว่าแต่ละสโมสรที่ได้เลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก จะได้เงินถึงราว 200 ล้านยูโร ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของค่าถ่ายทอดสด, การขายสินค้า รวมถึงการโฆษณา

นั่นเป็นเหตุผล ว่าทำไมทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ถึงสามารถทุ่มเงินถึง 184 ล้านยูโร ในการเซ็นสัญญานักเตะถึง 30 ราย ในฤดูกาลนี้

และในกรณีทีมที่ต้องตกชั้น ก็ยังจะได้รับเงินจากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดระดับมหาศาล นั่นจึงทำให้พวกเขายังมีงบเสริมทัพต่อได้

3. ไม่มีเพดานเงิน & เจ้าของรวย

นี่คือจุดที่ พรีเมียร์ลีก ต่างจาก ลาลีกา ลีกที่มีรายได้จากค่าลิขสิทธ์ถ่ายทอดสดเป็นรองแค่พวกเขา โดย ฮาเวียร์ เตบาส ผู้บริหาร ลาลีกา พึ่งออกมาวิจารณ์เบอร์ใหญ่ ว่าการใช้เงินของทีม พรีเมียร์ลีก เสมือนเป็นการโกง

เพราะนอกจาก พรีเมียร์ลีก จะไม่มีกฎควบคุมการเงิน ที่ให้ใช้จ่ายเงินได้ตามรายรับที่หามาแล้ว เตบาส ยังบอกว่าเจ้าของทีม พรีเมียร์ลีก ยังคอยอัดฉีดเงินของตัวเองแบบไม่มีขีดจำกัด 

หรือเงินที่นอกเหนือจากรายรับของตัวสโมสร เพื่อนำไปใช้ลงทุนซื้อนักเตะ ซึ่งจุดนี้ที่ เตบาส เปรียบกับการใช้สารกระตุ้น หรือการโกงนั่นเอง

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า พรีเมียร์ลีก นั้นมีเจ้าของรวย ๆ กันหลายสโมสร ไม่ว่าจะ นิวคาสเซิ่ล, แมนฯ ซิตี้ หรือ อาร์เซน่อล ที่มีเจ้าของรวยติดระดับท็อปเท็นเช่นกัน หรือแม้แต่เจ้าของสายเปย์อย่าง ท็อดด์ โบห์ลี่ จาก เชลซี

และ พรีเมียร์ลีก ยังมีสัดส่วนเจ้าของที่เป็นคนต่างประเทศสูงกว่าลีกอื่น ๆ ซึ่งนั่นหมายวามว่า ทีมพรีเมียร์ลีก สามารถสร้างรายได้เสริมจากแหล่งภายนอกประเทศอังกฤษได้ดีด้วย


และนี่คือเหตุผลทั้งหมด ว่าทำไม ทีมพรีเมียร์ลีก ถึงสามารถใช้เงินได้เยอะกว่าลีกอื่น และอีกสิ่งที่ยืนยันได้ คือการเปิดเผยรายรับของสโมสรฟุตบอลยุโรป โดย ดีลอยด์ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก

ที่เผยว่าท็อป 10 ทีมที่มีรายรับมากที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา มีทีมจาก พรีเมียร์ลีก ติดถึง 6 ทีม และมีถึง 15 ทีมติดใน 26 อันดับแรก

และท้ายที่สุดนี้ ก็ต้องรอดู ว่าจะมีกฎการเงินอะไรจาก ยูฟ่า ที่มาสกัดกั้นการใช้จ่ายจาก ทีมพรีเมียร์ลีก หรือไม่? เพราะดูเหมือนกฎ ไฟแนลเชี่ยล แฟร์ เพลย์ แทบไม่มีผล หรือมารอดูว่าหลังจากนี้ ลีกใหญ่อื่น ๆ จะสามารถไล่ตามรายรับ และสามารถใช้จ่ายได้ใกล้เคียงกับ พรีเมียร์ลีก ได้บ้างหรือไม่ ?

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline