background-defaultbackground-default
logo-pwa

เพิ่ม Khobsanam

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด

ซึ่งทัพ ราชันชุดขาว ยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นป้องกันแชมป์ต่อไป แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น แต่คือเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำของพวกเขาในการยืนอยู่ในรอบลึกๆ พร้อมสำหรับการเอื้อมมือไปคว้าถ้วยรางวัล บิ๊กเอียร์

ฉะนั้นมันไม่แปลกเลยที่แฟนบอลบางกลุ่มจะยกฉายา “ราชันแห่งยุโรป” ให้กับพวกเขา ด้วยสถิติที่คว้าแชมป์มาครองได้มากที่สุด หนำซ้ำในช่วง 10 ปีหลังสุด พวกเขาคว้าแชมป์มาเชยชมได้มากถึง 5 ครั้ง แถม 3 จาก 5 คือการคว้าแชมป์ติดต่อกันอีกด้วย

ย้อนกลับไปมองภาพรวมในฤดูกาลนี้ต้องยอมรับว่า เรอัล มาดริด ไม่ได้แข็งแกร่งทั่วแผ่นเหมือนที่เคยเป็นมา และยิ่งเปรียบกับซีซั่นก่อนที่สอยแชมป์ ทั้ง ลาลีกา, แชมเปี้ยนส์ลีก และ ซูเปอร์โกปา จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ในเกมลีกมีแต้มตามหลังจ่าฝูงอย่าง บาร์เซโลน่า อยู่ 9 คะแนน ผลงานในสนามมีผลงานหลุดอยู่บ่อยครั้งทั่้งเสมอ หรือว่าแพ้ เกมรับที่เคยแข็งแกร่งกลับมาช่องให้เจาะมากยิ่งขึ้น ส่วนเกมรุก คาริม เบนเซม่า ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น บวกกับสภาพร่างกายที่เจ็บบ่อยกว่าเดิมย่อมส่งผลต่อความสม่ำเสมอ

"เรอัล มาดริด" ฟอร์มสุดปังเมื่อลงเล่นเกมยุโรป

ทว่ามันแตกต่างไปจากฟุตบอลยุโรปเป็นอย่างมาก พวกเขาสามารถรักษามาตรฐานไว้ได้ดีเยี่ยม เฉกเช่นสองเกมที่ดวลกับ ลิเวอร์พูล

อย่างที่เราทราบกัน เรอัล มาดริด เดินหน้าคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่มามากแล้วถึง 14 สมัย จนกลายเป็นเต้ยของวงการ ไม่ว่าในยุคสมัยไหนก็ย่อมมีชื่อของสโมสรจากเมืองหลวงสเปนเข้าไปพัวพันอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2013 เป็นต้นมา

ซึ่งเมื่อเจาะไปหาสาเหตุหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาคงสภาพความแข็งแกร่งได้คือเรื่องของคุมกำลัง และมันสมองของกุนซือ

ซีซั่น 2013-14 ภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ในลาลีกา สเปน พวกเขาจบเพียงอันดับ 3 เท่านั้น แต่ในยุโรปกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สะดุดแพ้เพียงเกมเดียวคือในรอบ 8 ทีมสุดท้ายในการไปเยือน ดอร์ทมุนด์ เพียงเท่านั้น ส่วนที่เหลือกวาดชัยเกือบครบ 100%

สาเหตุที่หยิบยกขวบปีดังกล่าวมาพูดถึงคือเปรียบเสมือนยุคทองของพวกเขาที่สานต่อความยิ่งใหญ่มาอย่างต่อเนื่องแม้จะมีการปรับเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ก็ตามจาก “อันเช่” สู่ยุคของ ซีเนดีน ซีดาน

นอกจากตัวของกุนซือแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่สานต่อคือขุมกำลังนักเตะ เรอัล มาดริด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีช่วงที่อ่อนลงไป ทีมใช้ช่วงรอยต่อระหว่างตัวนักเตะได้อย่างยอดเยี่ยม ดึงเข้ามาเพิ่มความสด แต่ยังคงมีวัยเก๋าคอยประคอง

ไล่เรียงมาตั้งแต่ตำแหน่งนายทวารจาก อิเคย์ กาซิยาส เปลี่ยนผลัดเปลี่ยนมาอยู่ในมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ แม้ช่วงแรกจะมีเสียงวิจารณ์ถาโถม แต่หลังจากนั้นพอปรับตัวได้ก็กลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเดินหน้าล่าความสำเร็จ

กองหลังคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟจาก เปเป้ ที่ยืนคู่กับ เซร์คิโอ รามอส ก็ค่อยๆ เติมเต็ม นำ ราฟาเอล วาราน เข้ามา ก่อนที่จะค่อยๆ ยกระดับดันปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักเมื่อปล่อย เปเป้ ออกจากถิ่น เบร์นาเบว

แดนกลางเราจะเห็นภาพ โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และ กาเซมิโร่ ประสานกันมาตลอด ซึ่งด้วยอายุของแต่ละคนเพิ่มขึ้น ทีมก็ไปดึง โอเรเลียง ชูอาเมนี่  บวกกับ เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า เข้ามา ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าการขาด กาเซมิโร่ ไม่ได้ส่งผลต่อพวกเขามากเท่าไหร่นัก

ส่วนเกมรุกจากยุคที่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ปรับเปลี่ยนมาใช้เหล่าดาวรุ่งอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์, โรดรีโก้ โกเอส หรือ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ในการสานงานต่อ ซึ่งก็ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมเหมือนกัน พร้อมมีพี่ใหญ่อย่าง คาริม เบนเซม่า คอยติว และประสานงานจนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว

จากที่ยกตัวอย่างไปเมื่อถึงวันที่ต้องผลัดใบ เรอัล มาดริด ก็พร้อมดันนักเตะสายเลือดใหม่ในการก้าวขึ้นมาสานงานต่อ ในช่วงที่ซึมซับกับระบบของทีม ก็ยังมีแข้งเก่าๆ ยืนประคองเป็นตัวหลักในการลงสนาม และเสริมด้วยสายเลือดใหม่ขึ้นมา

มองภาพรวมเหมือน DNA ที่ถูกส่งต่อถึงกันมาตลอด เมื่อพี่โบกมือลา รุ่นน้องก็พร้อมสานต่อ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างช่วงเวลาในการรอคอยเพื่อหาใครสักคนมาอุดรอยในตรงนั้น

"เรอัล มาดริด" ฟอร์มสุดปังเมื่อลงเล่นเกมยุโรป

ฉะนั้นกับสถิติเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ได้ในชื่อ แชมเปี้ยนส์ลีก พร้อมสอยแชมป์ติดต่อกัน 3 ฤดูกาล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อเทียบกับความพร้อม และในแง่ของความเหมาะสม

ส่วนอีกประเด็นอาจเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งมันอาจจะจริง หรือไม่จริงก็ได้ คือความพิเศษของ เรอัล มาดริด ในฟุตบอลยุโรป เมื่อพวกเขาลงสนามเมื่อไหร่จะกลายเป็นผู้ไล่ล่าที่มีแรงกระหายที่มากไปกว่าเดิม

ภาพเด่นชัดที่สุด และใกล้ตัวสุดคืออย่างในเกมบุกเยือนแอนฟิลด์ครั้งล่าสุด การถูกออกนำไปก่อนถึง 2-0 ในช่วงเวลาเพียง 15  นาที มันไม่สามารถลบล้างความตั้งใจของพวกเขา หรือความหวาดกลัวถึงผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นได้เลย

เรอัล มาดริด ในวันนั้นเหมือนสู้ต่อแบบมีความหวังอยู่เสมอว่าจะสามารถกลับมาได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมามันก็เป็นในรูปแบบนั้นจริงๆ แม้จะไม่ใช่กับทุกครั้ง แต่ส่วนใหญ่ภาพเหล่านี้แฟนบอลมักจะเห็นจากยูนิฟอร์มของ “ราชันชุดขาว”

ส่วนในฤดูกาลนี้เส้นทางยังคงอีกยาวไกล แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ถูกจัดอยู่ในจำพวกตัวเต็งเบอร์ต้นๆ ในการมีสิทธิ์ป้องกันแชมป์อีกครั้ง

และเมื่อมาบวกกับตัวกุนซือที่ทั้งเก๋าประสบการณ์ และเจนจัดในเรื่องฟุตบอลยุโรป ยิ่งทวีคูณความอันตรายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

เรอัล มาดริด กับ แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้อาจยังไม่รู้ว่าจะลงเอยกันแบบไหน 

แต่ที่แน่ๆ คงเป็นหนึ่งในทีมที่หลายๆ สโมสรอยากเลี่ยงไม่อยากดวลด้วยในชั่วโมงนี้

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline