logo-heading

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับทัพ “สิงห์บลูส์” ในตอนนี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะมาตกอยู่ในโมเมนต์ตั้มที่เลวร้ายขนาดนี้ ส่วนหนึ่งมันต้องเชื่อมโยงไปถึงการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หัวเรือใหญ่ด้านบนที่เปลี่ยนมาอยู่ในมือของ ท็อดด์ โบห์ลี่

นักธุรกิจชาวอเมริกันเหมือนคนที่ไม่ใช่สำหรับแฟน เชลซี ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ามาดำเนินกิจการ ทั้งเรื่องของภาพลักษณ์ที่ต่างออกไปจาก โรมัน อบราโมวิช แม้จะทุ่มเงินเหมือนกัน แต่สิ่งผลลัพธ์ และวิธีการมันต่างกันแบบสุดขั้ว

ไหนจะเรื่องของการสัมภาษณ์กับสื่อ ความรู้เกี่ยวกับฟุตบอลที่ปล่อยไก่ตัวใหญ่ตั้งแต่บอกว่าให้อดีตกุนซืออย่าง โธมัส ทูเคิ่ล ปรับมาใช้ระบบ 4-4-3

รวมไปถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือที่หันมาใช้กุนซือที่โลว์โปรไฟล์ที่สุดของทีมคนหนึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนึ่งในต้นตอของความล้มเหลวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

ส่วนการเข้ามาของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่หวังจะเข้ามาเพื่อกอบกู้ในระยะสั้นดูเหมือนกำลังเอาชื่อมาทิ้งอีกครั้ง เพราะทั้งวิธีการ และผลงาน มันช่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน แม้จะเป็นระยะสั้นๆ แต่แทบจะหาคำตอบในบั้นปลายได้แล้ว

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาไปดูอาการน่าห่วงของ เชลซี ในช่วงที่เหลือภายใต้การทำทีมของตำนานรายนี้กันว่ามีจุดไหนที่ยังน่าเป็นห่วงบ้าง

“เชลซี” กับอาการน่าห่วงในยุค “แลมพาร์ด”

ชัยชนะเกมแรก

นี่คือประเด็นน่าห่วงลำดับต้นๆ ที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เลยก็ว่า เพราะจาก 4 เกมที่รีเทิร์นสู่รัง เดอะ บริจด์ เจ้าตัวยังไม่อาจพาทีมคว้าชัยชนะได้เลย แถมเป็นการแพ้รวดทั้งหมดไล่ตั้งแต่ วูลฟ์แฮมป์ตัน, เรอัล มาดริด, ไบร์ทตัน และล่าสุดกับทัพ “ราชันชุดขาว”

ฉะนั้นมันเลยเกิดสถิติว่า แลมพาร์ด คือกุนซือคนแรกของ เชลซี ในยุคพรีเมียร์ลีกที่ประเดิมคุมทีม 4 เกมแรก และพ่ายแพ้รวด

และถ้ามองย้อนกลับไปถึงช่วงปลายๆ ของ เกรแฮม พ็อตเตอร์ เท่ากับทัพ “สิงห์บลูส์” ห่างหาจากชัยชนะมาแล้ว 7 เกมติดต่อกันในทุกรายการ นัดล่าสุดที่ขึ้นตัวเขียวคว้าชัยคือเมื่อ 11 มีนาคม ในนัดที่บุกไปปราบ เลสเตอร์ 1-3

มากไปกว่านั้นเมื่อมองไปที่สถิติส่วนตัวของ แลมพาร์ด ในการคุมทีม 18 เกมหลังสุดที่ย้อนไปสมัยกุมบังเหียน เอฟเวอร์ตัน ด้วย เจ้าตัวคว้าชัยได้เพียงเกมเดียว และแพ้ไปมากถึง 15 นัด ด้วยกัน

โปรแกรมนัดถัดไปของ เชลซี ในพรีเมียร์ลีกจะต้องเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เบรนท์ฟอร์ด ซึ่งถ้าจะมองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะคว้าชัยก็ย่อมได้ เพราะทัพ “ผึ้งน้อย” ก็กำลังอยู่ในช่วงเป๋เช่นกันไม่ชนะใครมาแล้ว 5 เกม

แน่นอนเมื่อศึกวันนั้นมาถึง และยังไม่อาจเอื้อมมือไปเก็บชัยชนะได้อีก เรื่องของสภาพจิตใจนักเตะคงห่อเหี่ยว และดำดิ่งมากกว่าเดิมเป็นแน่

สภาพจิตใจ

ต่อเนื่องจากประเด็นที่ทิ้งท้ายไว้เมื่อสักครู่ คือเรื่องของสภาพจิตใจของนักเตะ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาเมื่อผลงานของตัวเอง หรือผลงานของทีมมันอยู่ในช่วงดำดิ่ง ความรู้สึกย่อมดาวน์ลง

ฉะนั้นจุดเปลี่ยนของเรื่องนี้อย่างเดียวคือแรงกระตุ้น และจิตวิทยาของเหล่ากุนซือสต๊าฟฟ์ในทีมที่ต้องพูดคุย และฮีลใจนักเตะให้ฮึดสู้กับห้วงเวลาแบบนี้

แน่นอน แลมพาร์ด ด้วยความเป็นหัวเรือใหญ่ เป็นหัวหน้าของเด็กๆ ในทีมตอนนี้ เรื่องของประสบการณ์ที่ผ่านมาสมัยเป็นนักเตะคือส่วนสำคัญในการเอาเข้ามาช่วยลูกทีมเพื่อฝ่าฟันสถานการณ์ในตอนนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนสำคัญคือผลงานในสนามที่ต้องกลับมาสู่พื้นที่ที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ก่อนที่อะไรหลายๆ อย่างมันจะเตลิดไปมากกว่านี้

“เชลซี” กับอาการน่าห่วงในยุค “แลมพาร์ด”

การทำประตู

สถิติที่น่าห่อเหี่ยวของ เชลซี ในฤดูกาลนี้คือเรื่องของการทำประตู โฟกัสที่ในศึกพรีเมียร์ลีกเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ทีมเพิ่งทำไปได้เพียง 30 ประตู เท่านั้น จนกลายเป็นเรื่องล้อเลียนในโซเชียลว่า เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เพียงคนเดียวยังทำประตูได้มากกว่า

ปัญหาของพวกเขาคือการขาดกองหน้าตัวเป้า ชนิดที่เป็นเหมือนเพชรฆาตคอยล่าประตูแบบในอดีตไม่ว่าจะเป็น ดิดิเยร์ ดร็อกบา, นิโกล่าส์ อเนลก้า หรือ ดิเอโก้ คอสต้า 

ในฤดูกาลนี้บทบาทตำแหน่งหมายเลข 9 เป็นของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่ถูกดันขึ้นไปเล่น ส่วน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง แฟนบอลแทบจะลืมชื่อไปแล้วว่าอยู่ในทีมกลับไม่ค่อยได้รับโอกาส ทั้งที่คือสไตร์เกอร์อาชีพแบบแท้ๆ

หรือในรายของ ดาวิด ดาโทร โฟฟาน่า ที่เพิ่งดึงตัวเข้ามาอายุก็ยังน้อยเกินไปในการฝากความหวังเอาไว้ได้

4 เกมที่ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีม เชลซี เพิ่งผลิตประตูไปได้เพียงตุงเดียวเท่านั้นคือในวันที่เปิดบ้านพ่าย ไบร์ทตัน 1-2

ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปในแต่ละเกมไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส แต่นักเตะกลับยิงนกตกปลากันไปเองซะเยอะ ยกตัวอย่างในเกมล่าสุดกับ เรอัล มาดริด โอกาสที่ควรจะแปรเปลี่ยนเป็นประตูอย่างน้อยๆ 2 ครั้ง กลับเอาไปโยนทิ้งแบบไม่น่าให้อภัย

ฉะนั้นกับเกมที่ยังเหลืออยู่ถ้าแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้ โอกาสที่จะคว้า 3 คะแนน มันก็น้อยลงตามไปด้วย เพราะถ้าไม่ยิงคู่แข่ง ก็เท่ากับว่าไม่เปิดโอกาสคว้าชัยให้ตัวเองเลย

จบซีซั่นรูปแบบไหน ?

แน่นอนแล้วว่า เชลซี จะจบฤดูกาลนี้แบบมือเปล่าไร้โทรฟี่ติดมือ ส่วนในเกมลีกปิดประตูไปได้เลยกับการหวังติดพื้นที่ท็อปโฟร์ หรือแม้กระทั่งบอลถ้วยรายการอื่นๆ ของยุโรป

ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ แลมพาร์ด และลูกทีมควรทำคือประคองไม่ให้ทีมอันดับมันร่วงหล่นไปมากกว่านี้อีกแล้ว การจบครึ่งบนของตารางว่าแย่แล้ว แต่ถ้าครบ 38 เกมดันไปรั้งอยู่ซีกล่างของตารางมันจะกลายเป็นอีกหนึ่งความผิดหวังที่ทวีคูณมากกว่าเดิม

จากนั้นทีมคงต้องเร่งหากุนซือคนใหม่เพื่อมาบูรณะซ่อมแซมทีมโดยด่วน ส่วนหนึ่งเพื่อเวลาในการเรียนรู้ทีม การลงตลาดซื้อนักเตะตามที่ต้องการ

สรุปง่ายๆ คือ 7 เกมที่เหลือนักเตะจะลงไปเล่นแบบปล่อยผ่านไปคงจะไม่ได้ ส่วน แลมพาร์ด เองก็คงต้องการกู้หน้าตัวเองให้ทีมกลับมามีผลงานปิดท้ายซีซั่นแบบสวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทว่าเมื่อมองที่รอบๆ ตัว เชลซี ในตอนนี้ปัญหามันกองอยู่เต็มไปหมด และแฟนบอลคงอยากให้ฤดูกาลนี้มันผ่านพ้นไปแบบเร็วๆ เสียที

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline