โดย เรือใบสีฟ้า มาเสียจุดโทษช่วง 10 นาทีสุดท้าย และ โดน โจชัว คิมมิช ยิงเข้าไป
อย่างไรก็ตาม ผลงานของ แมนฯ ซิตี้ ยังยอดเยี่ยม ต่อให้นัดนี้ไม่ได้บุกเป็นบ้าเป็นหลัง แต่พอมีโอกาส ก็คว้ามันได้ จากจังหวะที่ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ อาศัยความผิดพลาดของ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ หลุดเข้าไปยิงให้ทีมขึ้นนำ ซึ่งประตูนี้ก็มีสถิติให้พูดถึง และ ตอกย้ำความร้อนแรงของ จอมมารบู ก่อนจะไปเจอกับ เรอัล มาดริด ในรอบตัดเชือก
เอาเป็นว่าก่อนที่ เรือใบสีฟ้า จะทำศึก ซูเปอร์บิ๊กแมตช์กับ มาดริด มาดูประเด็นน่าสนใจที่เกิดขึ้นกับ แมนฯ ซิตี้ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากเขี่ย บาเยิร์น มิวนิค ได้สำเร็จ
- ความโหดเหี้ยมของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์
ถ้าทางฝั่ง เรอัล มาดริด มี คาริม เบนเซม่า เป็นตัวจบสกอร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็พร้อมนำ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ มาเป็นตัวชูโรงเช่นกัน เพราะนักเตะคนนี้มันเข้าขั้น "เหนือมนุษย์" ผลงานกำลังกระฉ่อนไปทั่วโลก โดยเฉพาะการซัลโวบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปแล้ว 32 ตุง
ขณะที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก .. ฮาแลนด์ ก็กดไปแล้ว 12 ประตู นำโด่งเป็นดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ สูงที่สุดที่ผู้เล่นจากสโมสรอังกฤษ เคยทำได้ เทียบเท่ากับ รุด ฟาน นิสเตลรอย ตำนานกองหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำไว้เมื่อซีซั่น 2002-03
ดังนั้นสิ่งที่ เรอัล มาดริด ต้องพึงระวังให้ดี ก็คือฟอร์มของ ฮาแลนด์ ที่เดินหน้ากระซวกไส้คู่แข่งได้อยู่ตลอด ซึ่งเครดิตก็ต้องชื่นชมเพื่อนร่วมทีม ที่พร้อมปั้นให้ทำประตูอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค กรีลิช, ริยาด มาห์เรซ หรือ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นต้น
จากที่เขาไม่เคยยิง บาเยิร์น มิวนิค ได้มาก่อน สมัยอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาถึงรอบนี้ ฮาแลนด์ ก็ลบล้างอาถรรพ์ ด้วยการยิงไป 2 ประตู จาก 2 นัด ทั้งเหย้า และ เยือน ถึงแม้เขาจะพลาดจุดโทษครั้งแรกกับ แมนฯ ซิตี้ แต่ความมั่นใจยังเต็มเปี่ยมแน่นอน ดังนั้นเกมที่ต้องเจอกับ เรอัล มาดริด เขาพร้อมเผชิญหน้าแล้ว
- ความกระหายแชมป์ของ แมนฯ ซิตี้
มาถึงรอบรองชนะเลิศ ไม่มีใครกลัวใครแล้วครับ ต่อให้ เรอัล มาดริด จะเป็นเจ้าพ่อ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คว้าแชมป์รายการนี้ได้มากที่สุด 14 สมัย ไม่มีใครทำได้มาก่อน โดยเคยสร้างประวัติศาสตร์ ซิวโทรฟี่ ยูซีแอล ติดต่อกัน 3 สมัย ได้อีกครั้งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังขับเคลื่อนด้วยชายที่ชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก แต่กระนั้น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือรายการที่ทุกคนในทีม เรือใบสีฟ้า โหยหา อยากได้แชมป์มากครองมากเหลือเกิน เพราะนี่คือแชมป์เดียวที่พวกเขายังทำมันไม่ได้ และ โดนข้อครหามาโดยตลอด
ว่ากันว่า ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ มาดริด ใครชนะคู่นี้ โอกาสเข้าไปคว้าแชมป์มีสูงทันที ดังนั้นความกระหายที่จะเป็นแชมป์ ยูซีแอล และ การล้างแค้น ของ เรือใบสีฟ้า ย่อมพลุ่งพล่านมากกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งพวกเขาโชว์ให้เห็นมาตลอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มว่า "แกร่งทั่วแผ่น" ต่อให้มีขวากหนามมาขวางแค่ไหน ก็ผ่านมันมาหมดแล้ว โดยเฉพาะการเขี่ย บาเยิร์น มิวนิค ที่ไม่เคยแพ้ใครมาก่อน
- ผลงานในบ้านคือจุดเด่น
ย้อนกลับไปเมื่อซีซั่นก่อน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องกระเด็นตกรอบด้วยน้ำมือ เรอัล มาดริด แบบที่ต้องชอกช้ำ กินน้ำใบบัวบกก็ยังรักษาไม่หาย เพราะกำลังจะเข้ารอบอยู่แล้ว แต่ก็มาโดนยิง 2 ประตู ช่วงทดเจ็บ ที่สนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ก่อนจะไปแพ้ 3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
แต่มาซีซั่นนี้ ทุกอย่างของลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า รู้สึกเล่นแบบละเมียดละไม ไม่ผลีผลาม แต่ยังคงไม่ลืมคอนเซปต์ "เดินหน้าฆ่ามัน" เหมือนเดิม โดยผลงานเวลาลงเล่นที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นจุดแข็งของพวกเขาเลยก็ว่าได้ เพราะซีซั่นนี้ในศึก ยูซีแอล แมนฯ ซิตี้ ชนะมารัวๆ ไม่เคยสะดุดเสมอ และ ไม่เคยแพ้ แม้แต่นัดเดียว
ทว่าสิ่งที่ เรือใบสีฟ้า ต้องพึงระวังให้จงหนัก และ มีสิทธิ์ที่จะโดน เรอัล มาดริด ย้ำแค้นอีกครั้ง นั่นก็คือผลงานเกมเยือน เนื่องจาก 4 นัดล่าสุดของรายการนี้ แมนฯ ซิตี้ เสมอกับคู่แข่งทุกนัด และ ยิงได้เพียงแค่ 2 ลูก เท่านั้น ดังนั้นการเจอกับ ราชันชุดขาว พวกเขามีบทเรียนอยู่แล้ว จำเป็นจะต้องเล่นให้เนี๊ยบทั้ง 2 เกม
- แมนฯ ซิตี้ คือทีมเกมรุก และ เกมรับ ดีที่สุด
ไม่แปลกใจเลยที่ แมนฯ ซิตี้ ถูกยกย่องให้เป็นทีมเต็งแชมป์มาตลอดในซีซั่นนี้ เนื่องจากการผ่านเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นฝีเท้าของพวกเขาล้วนๆ ที่โชว์ฟอร์มได้สมราคาจริงๆ
นับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จนผ่าน บาเยิร์น มิวนิค ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาลงเล่นมาแล้วรวม 10 นัด สามารถเก็บชัยชนะได้ 6 นัด และ เสมอ 4 นัด ยังไม่แพ้ให้กับทีมใด พร้อมกับสร้างสถิติเป็นทีมที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดในซีซั่นนี้ ด้วยการกระซวกไส้คู่แข่งมากถึง 26 ประตู และ เสียประตูน้อยที่สุดแค่ 4 ลูก เท่านั้น ถือว่าสมราคาตัวเต็ง
ซึ่งเครดิตตรงนี้ ต้องให้กับทั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ นักเตะ เรือใบสีฟ้า ที่สร้างผลงานกระหึ่มโลก โดยเฉพาะกับ เป๊ป ที่มีประสบการณ์บนเวทีนี้เต็มเปี่ยม ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 9 แล้ว ที่ เป๊ป ผ่านเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ มีเพียง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ทำได้มากกว่าอยู่ 1 ครั้ง และ ทั้งคู่ต้องมาดวลวัดฝีมือกันเอง
ฮาย ฮาวดี้-