ซึ่งถ้าเรามองภาพรวมในฤดูกาลนี้ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่เราจะเห็นพลพรรคทัพ "เรือใบสีฟ้า" เป็นผู้ตามมาโดยตลอด ก่อนที่จะมาพลิกสถานการณ์ปาดหน้าคว้าแชมป์ในช่วงโค้งสุดท้าย ด้วยความคงเส้นคงวา และมาตรฐานที่รักษาเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
แน่นอนเมื่อมองไปที่ผลงานทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีอัตราความน่ากลัวที่สูงมากเหลือเกิน อาจมีข้อผิดพลาดสะดุดเสมอ หรือแพ้ให้ได้เห็น ทว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มพวกเขาไม่แสดงความผิดพลาดออกมาให้เห็น แต่แปรเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่งที่ทีมอื่นๆ จะต้านไหว
ด้วยผลงานแบบนี้ ฟอร์มที่ยากจะรับมือ ไม่แปลกที่พวกเขาจะถูกมองว่าจะสามารถรักษาพื้นที่ความสำเร็จแบบนี้ต่อไปในอีกเรื่อยๆ
ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราในวันนี้จะพาไปส่องปัจจัยที่อาจพาทัพ "เรือใบสีฟ้า" ผงาดต่อเนื่องในซีซ่ันหน้า และคว้าความสำเร็จมาเชยชมอีกครั้ง ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
ประเดิมเปิดหัวประเด็นคงหนีไม่พ้นหัวเรือผู้ติดตั้งแท็คติกต่างๆ อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในช่วง 7 ปีหลังสุดขอ
สโมสร พร้อมกวาดแชมป์มากมายมาให้แฟนบอลได้เชยชมชนิดที่ไม่เคยขาดสาย
ที่ผ่านมานายใหญ่ชาวสเปนมักจะถูกเสียงวิจารณ์ว่าไม่สามารถคุมทีมไหนได้อย่างยาว อย่างเช่นอยู่กับ บาร์เซโลน่า ก็ไม่ยืดยาว รวมไปถึงเมื่อครั้งนั่งแท่นเทรนเนอร์ของ บาเยิร์น มิวนิค ที่กวาดแชมป์มาตลอด แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 3 ฤดูกาลเท่านั้น
แต่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหมือนเป็นข้อที่แตกต่างออกไป และกลายเป็นสโมสรที่ เป๊ป อยู่ทำงานด้วยในฐานะกุนซือนานที่สุดปัจจุบันเข้าสู่ซีซั่นที่ 7 เข้าให้แล้ว และดูเหมือนความกระหายของเขาในการไล่ล่าความสำเร็จไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป ในทุกขวบปียังคงเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในเวที แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ตอนนี้เข้าใกล้กับจุดสูงสุดตรงนั้นแล้ว
ที่ผ่านมา เป๊ป ค่อยๆ วางโครงสร้าง และแบบแผนต่างๆ ให้กับทีมมาโดยตลอด คอยแต่งเติมเสริมทีมในจุดที่ขาดหาย ทำให้เราได้เห็นว่าในยุคของเขา แมนฯ ซิตี้ แทบจะไม่มีฤดูกาลไหนเลยที่ผลงานดรอปลงไปแบบน่าเกลียด หรือต่อให้พลาดแชมป์ในปีนั้นๆ ยกตัวเองในฤดูกาล 2019-20 เป๊ป ก็สามารถพาทีมกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งก่อนยิงยาว 3 สมัยติดต่อกัน
ฉะนั้นการที่ทัพ เรือใบ ยังมี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียนอยู่ก็เหมือนมีบุคลากรที่รู้วิธีการคว้าแชมป์ว่าควรทำอย่างไร และด้วยประสบการณ์ที่อัดแน่นมันแทบการันตีได้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ จะยังคงอยู่ในวงโคจรลุ้นแชมป์ต่อไปอีกยาวๆ
และถ้าลองมองในอีกมุมถ้าในวันนี้ แมนฯ ซิตี้ เปลี่ยนแปลงไม่ใช่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่อยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ อัตราความน่ากลัว ความโรคจิตที่เราเคยสัมผัส มันคงจะลดน้อยถอยลงไปพอสมควร
ขุมกำลังเพียบพร้อม
ต่อจากประเด็นเรื่องของกุนซือมาต่อกันที่ขุมกำลังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนี้ที่ต้องบอกว่าเพียบพร้อมไปทั่วทุกอณู สามารถโรเตชั่นเปลี่ยนทีมได้แบบสบายๆ อีกทั้งยังตั้งอยู่ในมาตรฐานที่ เป๊ป เองได้เซ็ตไว้แล้วว่าต้องออกมในรูปแบบไหน
ฉะนั้นไม่แปลกเลยที่ข่าวเรื่องการซื้อนักเตะใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้ของ แมนฯ ซิตี้ จะเงียบมากกว่าทีมอื่นๆ ร่วมลีก เพราะเมื่อชายตามองไปที่ขุมกำลังเชิงลึกมันสามารถตอบได้เลยว่าแข็งแกร่ง ถ้าจะมีเข้ามาคือการเติมให้ทีมมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้นเอง
แนวรับที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันเล่นก็ถือว่าลงตัวนักเตะอย่าง นาธาน อาเก้ หรือ มานูเอล อคานยี่ สามารถปรับตัว และกลายเป็นจิ๊กซอว์ทีเด็ดในแผงเกมรับไปแล้วเรียบร้อย ส่วนในตำแหน่งของ เจา คันเซโร่ ที่ตอนแรกเสียงแตกเห็นต่างกันมากมายว่าขาดไปทีมจะเสียสมดุลหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างได้คำตอบที่สมบูรณ์แล้ว
ขยับมาที่แดนกลางขนาด คาลวิน ฟิลลิปส์ ไม่ได้มีซีซั่นที่ยอดเยี่ยม แถมศักยภาพดรอปลงไปกว่าเดิม ทว่าคนอื่นๆ ที่อยู่สามารถยกระดับทีม และเซตค่ามาตรฐานไว้สูงเลยทีเดียว นักเตะอย่าง จอห์น สโตนส์ กลายเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่สารพัดประโยชน์ ยืดหยุ่นได้ตามแผนหน้างานที่ เป๊ป จะสั่งการลงไป อีกทั้งเรื่องของเกมรุกก็ดุดันเหลือเกิน
ทั้งนี้ด้วยขุมกำลังที่ลงตัวมันจึงกลายเป็นปัจจัยที่ว่า แมนฯ ซิตี้ สามารถโรเตชั่นทีม จับใครออก ส่งใครเข้า ก็ยังมีสมดุลตรงกลางที่ไม่ได้แกว่งไปซ้าย หรือขวามากจนเกินไป
และแน่นอนว่าซัมเมอร์นี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อาจมีนักเตะบางคนย้ายออกไป แต่เมื่อมีคนโบกมือลา ก็ต้องมีชูเสื้อเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ แต่กระนั้นยังได้เลยว่าขนาดของทีมจะยังคงมีคุณภาพ และนักเตะสามารถจะปรับเข้ากับแท็คติกของทีมได้เหมือนนักเตะที่เข้ามาใหม่ในช่วงที่ผ่านๆ มา
แนวรุกสุดโหด
หัวข้อนี้คงต้องหยิบยกมาพูดคุยแบบแยกประเด็นกันออกไป เพราฤดูกาลที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ต้องยอมรับเลยว่าเหล่าบรรดาเกมรุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นมีแต่โหดๆ และสามารถเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัว
โฟกัสที่ไปที่ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ จากที่ตอนแรกถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ จะรักษาฟอร์มที่เคยดีกับ ดอร์ทมุนด์ ได้ไหม ? กลายเป็นว่าพรีเมียร์ลีกต้องปรับตัวให้เข้ากับความโหดของเขาที่ทำลายสถิตินู้นนั้นนี่เป็นว่าเล่น ปัจจุบันก็ซัดไปแล้ว 36 ประตูในพรีเมียร์ลีก ทั้งที่เพิ่งย้ายเข้ามาร่วมทีมได้ไม่นาน
นอกจากนั้นในรายอื่นๆ ผลงานถูกจัดอยู่ในความยอดเยี่ยมแบบยกทั้งแผง แจ็ค กรีลิช เริ่มแสดงผลงานที่คุ้มค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังเริ่มปรับตัวได้ และได้โอกาสลงสนามอย่างสม่ำเสมอ ในรายของ ริยาด มาห์เรซ มาตรฐานยังคงสูงเช่นเคยเห็นเงียบๆ แบบนี้เจ้าตัวจัดไปแล้วถึง 10 แอสซิสต์ ด้วยกัน
ไหนจะดาวรุ่งอย่าง ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าพร้อมเป็นอีกทางเลือกให้ทีม แม้โอกาสลงสนามจะน้อย เพราะด้วยเหตุผลที่มี ฮาแลนด์ ขวางหน้า แต่ทว่าทุกการลงสนามของเขาก็มักตอบแทนด้วยประตูอยู่เสมอจนเป็นทีมของ 9 ประตู ในเกมลีกซีซั่นนี้
ยังไม่หมด แมนฯ ซิตี้ ยังคงมี ฟิล โฟเด้น ที่แม้ขวบปีนี้ผลงานจะดรอปลงไป แต่ยังคงมีพิษสงที่คอยเล่นงานคู่แข่งอยู่เสมอ รวมไปถึงดาวรุ่งอย่าง โคล พาลเมอร์ ที่รอวันเฉิดฉายอยู่
แน่นอนภาพรวมเกมรุกของ ซิตี้ ในตอนนี้ถือว่าลงตัวเอามากๆ นักเตะหลายคนอายุยังไม่เยอะสามารถคาดหวังถึงพัฒนาการ อีกทั้งไม่แน่เมื่อช่วงซัมเมอร์มาถึงทีมอาจแต่งเติมอาวุธตรงนี้เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ และมันอาจเป็นทวีความโหดร้ายที่แนวรับคู่แข่งต้องพบเจอ
ทีมอื่นยังไม่นิ่ง
ประเด็นสุดท้ายอาจต้องไปแตะพูดถึงสโมสรอื่นๆ กันหน่อย เพราะด้วยมาตรฐานของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยอดเยี่ยมในตอนนี้ อาจทำให้ทีมอื่นๆ อาจไล่หลังตามมาไม่ทันก็เป็นได้
อย่าง อาร์เซน่อล ที่หลุดโค้งไปในช่วงท้ายซีซั่นมันชัดเจนในเรื่องของประสบการณ์ และความนิ่ง รวมไปถึงกึ๋นของกุนซือในการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งเราไม่รู้ว่าฤดูกาลหน้าทัพ "ปืนใหญ่" จะคงสภาพ และยกระดับตัวเองไปได้มากขนาดไหน
ส่วนทีมอื่นๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงต้องตามหากองหน้าตัวเป้าคนใหม่ รวมไปถึงแผงเกมรับ, ลิเวอร์พูล ต้องยกเครื่องทีมใหม่พอสมควร โดยเฉพาะแดนกลาง, เชลซี ทีมที่ต้องปรับจูนใหม่แบบยกแผงตั้งแต่ตัวกุนซือ หรือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่ไม่รู้ซัมเมอร์นี้จะเปลี่ยนทีมมากขนาดไหน
ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่าทีมเหล่านี้ยังคงไม่มีความแน่นอนเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังคงต้องหานักเตะใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพเพื่อยกระดับทีม มันเลยยังคงเห็นภาพไม่ชัดว่าคุณภาพจะสามารถก้าวขึ้นมาต่อกรกับพลพรรค "เรือใบสีฟ้า" ได้มากขนาดไหน
แน่นอนว่าตรงนั้นคือเรื่องของอนาคต แต่ถ้าประเมินสถานการณ์ในตอนนี้ก็ย่อมเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่นิ่งที่สุดในเรื่องของขุมกำลังฤดูกาลหน้า หรือตัวกุนซือที่เก๋าเกมมากประสบการณ์
ฉะนั้นเมื่อหลายๆ ปัจจัยที่กล่าวมาผสมรวมกันจะเห็นว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีความเพียบพร้อมในการเดินหน้าป้องกันแชมป์ และโอกาสสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 4 สมัย เป็นสโมสรแรกมากเหลือเกิน
- Paolinho -