logo-heading

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ ชลบุรี เอฟซี คือ 2 สโมสรยักษ์ใหญ่ที่เป็นต้นแบบสร้างสีสันยกระดับให้วงการฟุตบอลไทยสู่ความเป็นมืออาชีพกว่าช่วงหนึ่งทศวรรษ รวมไปถึงเคยสร้างปรากฏการณ์แฟนบอลให้ความสนใจเข้าชมเกมคู่นี้จนเต็มทะลักสนามมาแล้ว

การดวลกันระหว่างทั้งสองทีมยังคงมีความเสน่ห์คลาสสิคอยู่เสมอ เจอเมื่อไหร่ใส่กันเต็มที่เมื่อนั้น จนได้รับขนานนามการเจอกันว่า ศึก “ไทยแลนด์ กลาซิโก”

มาถึงปัจจุบันพวกเขามีฐานแฟนบอลที่เหนียวแน่น ประกอบกับสโมสรยกเน้นไปพัฒนาในระบบฟุตบอลเยาวชนที่จริงจังป้อนสู่ทีมชุดใหญ่ และนำไปสร้างมูลค่าต่อในอนาคต เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน

ด้วยแนวทางเช่นนี้ รวมถึงปัจจัยหลายอย่างเรื่องงบประมาณที่มีจำกัดทำให้สถานการณ์ในลีกของพวกเขาเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากแต่ละสโมสรมีการลงทุนเพื่อการแข่งขันที่สูง จากที่เคยทุ่มคว้าบรรดาแข้งบิ๊กเนมมาร่วมทีม มาสู่พัฒนาเยาวชนที่สามารถยืนด้วยลำแข้งและเป็นความภาคภูมิใจตัวเอง

สถานการณ์ในศึก ไทยลีก ของทั้งสองทีมขณะนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหากเทียบกับครั้งก่อนๆ ขณะนี้กำลังดื้นรนเพื่อความอยู่รอด โดยตารางคะแนนตั้งแต่กลางตารางถึงท้ายตารางอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่คะแนนเท่านั้น หากใครสะดุดก็มีโอกาสตกลงไปอยู่โซนแดงได้ทุกครั้ง

ด้าน "กิเลนผยอง" ปัจจุบันแข่ง 16 นัดอยู่อันดับที่ 13 มี 18 คะแนน ห่างจาก โซนแดง เพียงแต้มเดียว ส่วน "ฉลามชล" แข่ง 16 นัด อยู่อันดับที่ 15 ตามโซนปปลอดภัยอยู่ที่ 4 คะแนน

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวคือในช่วงเลกแรก ทำคะแนนหลุดมือในหลายๆ เกม ประกอบกับ นักเตะต่างชาติที่เสริมเข้ามายังไม่ตอบโจทย์ไม่สามารถยกระดับทีมได้ตามที่ต้องการ

สำหรับตำแหน่งกุนซือของทั้งคู่มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างฤดูกาล หลังจาก เมืองทอง ได้แยกทางกับ มาริโอ ยูรอฟสกี้ เลือกใช้บริการ มิลอส โจซิค กุนซือชาวเซอร์เบียที่คุ้นเคยกับฟุตบอลไทยเป็นอย่างดีทำงานคู่กับ "โค้ชทัย" อุทัย บุญเหมาะ

แม้การออกสตาร์ในเลกสองด้วยความพ่ายแพ้ในบ้านต่อ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด แต่พวกเขาก็ยังเชื่อมั่นว่าเวย์โค้ชคู่จะกอบกู้สถานการณ์ทีมได้

ขณะที่ทางฝั่ง “ฉลามชล” ตัดสินใจเรียก “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิคของสโมสรที่คอยดูภาพรวมทั้งทีมชุดใหญ่และทีมเยาวชนมาโดยตลอด กลับมารับตำแหน่งกุนซือใหญ่อีกครั้งในรอบ 11 ปี

ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนของกุนซือวัย 69 ย่างเข้า 70 ทำให้สโมสรเชื่อมือว่าเขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดตอนนี้ที่จะเค้นศักยภาพนักเตะในทีมที่ส่วนใหญ่ล้วนเคยผ่านมาเขาในทีมเยาวชนแทบทั้งสิ้น เพื่อนำพาทีมให้โลดแล่นบนลีกสูงสุดให้ได้ต่อไป

ท้ายที่สุดหากสมมติว่าเกิดทีมใดทีมหนึ่งมีอันต้องตกชั้นลงสู่ลีกรองไป จะถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด แน่นอนว่าหนทางยังยาวไกล ตัดสินอะไรไม่ได้ตอนนี้เพิ่งเริ่มเลกสองไปไม่กี่แมตช์เท่านั้น แต่ยังพอมีเวลาที่ให้พวกเขาเร่งปรับจูนทำความเข้าใจแข้งใหม่กับแข้งปัจจุบัน

ยังเชื่อเสมอว่าทั้งคู่จะสามารถกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีและอยู่ในที่ที่ควรอยู่อีกครั้ง เราก็ขอเป็นกำลังใจให้ฝ่าฟันกับสถานการณ์นี้ไปให้ได้

CHUNKA

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline