logo-heading

หนล่าสุดที่แต้มใกล้เคียงกันขนาดนี้ Opta บอกว่าคือฤดูกาล 2013-14 ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่ แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และเชลซี มีแต้มห่างกันไม่เกิน 1 แต้มในช่วงโค้งสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม ในเชิงแต้มมันก็คือแบบนั้น แต่ถ้าเอาความสูสี ทั้งมาตรฐานการเล่น ความดุเดือดในการลุ้นสัปดาห์ต่อสัปดาห์ และการสลับกันขึ้นลงจ่าฝูง ผมเชื่อว่าซีซั่นนี้น่าจะเดือดสุดตั้งแต่ดูพรีเมียร์ลีกมาเลย

ตอนทั้ง 3 ทีมแข่งเท่ากัน 27 นัด ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูง มากกว่าซิตี้ 1 แต้ม และมากกว่าอาร์เซน่อล 2 แต้ม

พอแข่งเท่ากัน 28 นัด อาร์เซน่อลกลับมาเป็นจ่าฝูงแทนด้วยประตูได้เสียดีกว่า และนำอันดับ 3 ซิตี้แค่ 1 แต้ม

พอแข่งเท่ากัน 29 นัด ลิเวอร์พูลกลับมาผงาดอีกครั้ง ด้วยช่องว่างที่มากขึ้น โดยนำอาร์เซน่อล 2 แต้ม แมนฯ ซิตี้ 3 แต้ม ซึ่งพวกเขาก็ยังนำแบบนี้ต่อไปหลังครบ 30 นัด 

จนกระทั่งสัปดาห์ล่าสุด ผลเสมอแดงเดือด ทำให้อาร์เซน่อลกลับมาเป็นจ่าฝูงอีกครั้งด้วยประตูได้เสียดีกว่า ส่วนซิตี้ก็ตามแค่แต้มเดียว ทุกอย่างสามารถพลิกได้ภายใน 1 นัด ซึ่งดูทรงแล้วทั้ง 3 ทีมคงไม่แผ่วง่ายๆ ด้วย

หากดูจากสถิติ ทุกทีมมีจุดเด่นเป็นของตัวเองหมดเลย ถ้าวัดกันที่แต้มและประตูได้เสีย อาร์เซน่อลคือทีมที่ยิงเยอะสุด เสียน้อยสุด ถ้าเป็นแชมป์ก็คู่ควร, ลิเวอร์พูลคือที่สร้างโอกาสทอง หรือ XG ได้เยอะที่สุด ซึ่งก็คู่ควร หรือจะเป็นซิตี้ที่เกมหวังผลแม่นสุด ยิงตรงกรอบต่อเกมอันดับ 1 พวกเขาก็คู่ควรเหมือนกัน 

ลองมาดูโปรแกรมจากนี้กันหน่อย อาร์เซน่อลต้องเจอ วิลล่า (เหย้า) วูล์ฟแฮมป์ตัน (เยือน) เชลซี (เหย้า) สเปอร์ส (เยือน) บอร์นมัธ (เหย้า) แมนฯ ยูไนเต็ด  (เยือน) เอฟเวอร์ตัน (เหย้า) ซึ่งเกมยากน่าจะเป็นแมตช์ไปเยือนสเปอร์สกับยูไนเต็ด

ลิเวอร์พูล โปรแกรมคือ พาเลซ (เหย้า) ฟูแล่ม (เยือน) เอฟเวอร์ตัน (เยือน) เวสต์แฮม (เยือน) สเปอร์ส (เหย้า) วิลล่า (เยือน) และวูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า) โปรแกรมหนักคือช่วงเยือน 3 นัดติด และการเจอสเปอร์สในแอนฟิลด์ ซึ่งพวกเขาคงหวังแก้แค้น หลังเคยโดนการตัดสินผิดพลาดเลกแรกมาก่อน 

ซิตี้โปรแกรมคือ ลูตัน ทาวน์ (เหย้า), สเปอร์ส (เยือน แต่ยังไม่ประกาศวันแข่ง), ไบรท์ตัน (เยือน), ฟอเรสต์ (เยือน), วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า), ฟูแล่ม (เยือน) และเวสต์แฮม (เหย้า) นัดยากสุดคงเป็นเกมไปเยือนสเปอร์ส 

เทียบโปรแกรมดูแล้ว ส่วนตัวคิดว่าของซิตี้เบากว่าอีก 2 ทีมเล็กน้อย ถ้าเข้าฟอร์มแบบจริงจังมีโอกาสชนะ 6-7 นัดได้เลย แต่ผมเชื่อว่ามันยังมีจุดเปลี่ยนได้อีกเยอะ ตอนนี้มันแค่ทราบทิศทางว่าการลุ้นแชมป์จะเป็นยังไง? ทว่ายังมีโปรแกรมยุโรปเป็นตัวแปรด้วย ซึ่งมองข้ามไม่ได้เลย 

อาร์เซน่อลกับซิตี้ คงตอบได้ลำบากว่าอยากเน้นพรีเมียร์ลีกหรือ UCL มากกว่ากัน เช่น อาร์เซน่อลก็คงอยากเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 20 ปี แต่ถ้วย UCL ก็ยังไม่เคยได้มาก่อน ถ้าปิดจ็อบได้สำเร็จ ก็จะพูดได้เต็มปากว่าได้ครบทุกถ้วย

ซิตี้ถ้าได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ก็จะเป็นทีมแรกที่คว้า 4 สมัยติด แม้แต่ยูไนเต็ดยุคเฟอร์กี้ยังทำไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่า UCL จะไม่สำคัญ เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็นชื่อ UCL เคยมีแค่มาดริดที่ป้องกันแชมป์ได้ ซึ่งถ้าซิตี้คว้าได้อีกสมัย มันก็จะทำให้คุณค่าประวัติศาสตร์สโมสรเพิ่มขึ้นด้วย 

ในทางกลับกัน ลิเวอร์พูลต่อให้ไม่ได้แชมป์ยูโรปา ผมว่าพวกเขาก็คงไม่ซีเรียส คือถ้าไปถามแฟนลิเวอร์พูล 100 คนว่าอยากได้ถ้วยไหนมากกว่ากัน? ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนตอบอยากได้พรีเมียร์ลีกมากกว่า มันจะได้เป็นการอำลา เจอร์เก้น คล็อปป์ แบบโรแมนติคด้วย

แต่ถ้าคุณไปถามแฟนซิตี้กับอาร์เซน่อล ผมว่าเสียงแตก เลือกยากมากว่าอยากได้ถ้วยไหนมากกว่ากัน 

คำถามคือ JK จะกล้าทิ้งถ้วยยูโรปาไหม? ผมคิดว่าที่ผ่านมาไม่ทิ้ง เพราะอยากรักษาโมเมนตั้มลุ้น 4 ถ้วยเอาไว้ กลัวว่าพลาดรายการใดรายการหนึ่งแล้วจะทำให้แรงใจตก ซึ่งทฤษฎีนี้มันก็ดีเหมือนกัน แต่ก็เป็นดาบ 2 คม เพราะหนล่าสุดที่ JK ยังเน้นยูโรปา มันมีผลตามมาคือแพ้แรงกายต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด จนตกรอบ FA

ถ้าให้เดาใจ ผมคิดว่า JK น่าจะต้องเน้นพรีเมียร์ลีกมากขึ้น คือไม่ได้หมายความว่าให้ปล่อยจอยยูโรปาไปเลย แต่น่าจะใส่สำรองผสมดาวรุ่งมากกว่าเดิม ตัวหลักไม่ต้องเอาลงก็ได้ ซึ่งถ้าเข้ารอบก็ถือเป็นโบนัส แต่ถ้าตกรอบก็มาลุ้นเกมลีก 100% คือใช้ใจแลกใจดาวรุ่งไปเลย ถ้าดาวรุ่งอยากลงเล่นมากขึ้น คุณก็ต้องพยายามชนะยูโรปาแล้วเข้ารอบให้ได้

ส่วนซิตี้กับอาร์เซน่อล ผมเชื่อว่าไม่ทิ้งทั้งคู่ โดยเฉพาะ UCL ที่คงตัวหลักทุกนัด แต่ถ้าจะมีโรเตชั่นบ้าง อาจเป็นเกมลีกนัดที่พวกเขาคิดว่าตบได้แบบไม่มีปัญหา เหมือนที่อาร์เตต้ากล้าพักซาก้าในเกมชนะลูตัน หรือจะเป็นซิตี้นัดล่าสุดที่มั่นใจว่าล้มพาเลซได้ ก็ให้โฟเด้นเป็นแค่สำรอง 

พรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายจากนี้ มันไม่ได้วัดแค่ผลงานในสนาม มันไม่ได้วัดแค่แท็กติกระหว่างเกม แต่ต้องวัดเรื่องการเลือกนักเตะลงในแต่ละนัดด้วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวจริงลงทุกนัดครบทั้ง 2 รายการ

มันไม่ใช่แค่ว่าใครโรเตชั่นเก่งกว่ากัน มันต้องวัดยันทีมแพทย์และกายภาพ เช่น ใครประเมินความเสี่ยงบาดเจ็บนักเตะได้ดีกว่า ก็ถือเป็นแต้มต่อที่ดี เพราะต่อให้นักเตะเก่งแค่ไหน? แต่ถ้าฝืนใช้ตัวหลักจนเจ็บในช่วงสำคัญ มันก็อาจจะไม่คุ้ม

ผมถึงบอกว่าพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ น่าจะสูสีที่สุดตั้งแต่ดูมาเลย มันวัดกันทั้งโค้ช วัดกันที่นักเตะ วัดกันที่ทีมงานเบื้องหลัง และวัดกันที่การเลือกนักเตะแต่ละนัด ซึ่งอัพเดตล่าสุดซิตี้เป็นเต็ง 1 อาร์เซน่อลเต็ง 2 และลิเวอร์พูลเต็ง 3 แต่ก็ยังวัดอะไรไม่ได้ ขนาดจ่าฝูงยังเปลี่ยนได้ทุกสัปดาห์ ดังนั้น ตัวเต็งก็เปลี่ยนได้ทุกสัปดาห์เช่นกัน

หากใครไม่ได้แชมป์ คุณอาจเสียดาย แต่ไม่จำเป็นต้องเสียใจเลย เพราะลุ้นได้สูสีขนาดนี้ก็สุดยอดทุกทีมแล้ว คนจะต้องพูดถึงการลุ้นปีนี้ไปอีกหลายปี

แต่ถ้าทีมไหนเป็นแชมป์ได้ขึ้นมา ทีมนั้นจะรู้สึกภูมิใจได้แบบทวีคูณ เพราะนี่คือการเป็นแชมป์เวอร์ชั่นที่ยากสุดในรอบหลายปี 

อะไรที่ได้มายากๆ พอเราทำได้สำเร็จ มันจะมีคุณค่าเสมอ

- Petr Boat -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline