ชำแหละ นาบิล เฟคีร์! ว่าที่แข้ง 'หงส์แดง' คนใหม่

ท่ามกลางข่าวที่บอกว่า ลิเวอร์พูล โอเคคว้าตัว เฟคีร์ มาขยี้เพลงแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ ฤดูกาลหน้า ชาว เดอะ ค็อป หลายคนคงอยากรู้ว่าเขามีดีขนาดไหน เราจะพาไปรู้จักกัน

เมื่อวานนี้มีรายงานว่า ลิเวอร์พูล ตกลงกับ โอลิมปิก ลียง ที่จะสอยเพลย์เมกเกอร์กัปตันทีมของพวกเขามาร่วมทัพได้ในฤดูกาลหน้าแล้วที่ 70 ล้านยูโร ชื่อของ นาบิล เฟคีร์ ก็ถูกพูดถึงมากขึ้นในวงสนทนาของเหล่า "เดอะ ค็อป" อยากรู้ว่านักเตะคนนี้มีดีขนาดไหน เจ๋งยังไง วันนี้ ขอบสนาม ขันอาสา พาไปทัศนาฟอร์มของแข้งรายนี้กัน โปรไฟล์ เฟคีร์ เกิดในวันที่ 18 กรกฎาคม 1993 ปัจจุบันอายุ 24 ปี เกิดที่ ลียง ประเทศ ฝรั่งเศส เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก และกองหน้าตัวต่ำได้ สมัยเป็นเยาวชน เนื่องจากเป็นคนที่เกิดที่ ลียง ก็เลยเคยเข้า อคาเดมี่ของ โอลิมปิก ลียง ตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่ก็ไม่ได้ฉายแววในตอนนั้น 2 ปี ก็โดนปล่อยตัวออกไป เพราะไม่แข็งแรงพอ เขาไปอยู่กับสโมสรท้องถิ่นหลายทีม ที่หนึ่งคือที่ที่เป็นศูนย์บ่มเพาะนักเตะที่มักจะมีแมวมองของ แซงต์-เอเตียน คู่ปรับของ ลียง มาดูบ่อยๆ ซึ่งตอนนั้น พวกเขาอยากเซ็นสัญญากับ เฟคีร์ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงคว้าโอกาสล้างแค้นนี้ไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเขา เขาเลือกที่จะรอ พยายามและพิสูจน์ตัวเอง จนกลับมาเซ็นสัญญากับ ลียง ได้อีกครั้งในปี 2011 ซึ่งเขากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ผมอยากแสดงให้เห็นว่า ลียง คิดผิดที่ปล่อยผมไป" แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ขึ้นชุดใหญ่ ครั้งแรกที่ถูกดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่คือวันที่ 30 มิถุนายน 2013 ในฐานตัวสำรองในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ชนุ กลาสฮอปเปอร์ จาก สวิส 1-0 แต่ครั้งนั้นก็ไม่ถูกส่งลงเล่น เกมแรกที่ได้เล่นคือวันที่ 28 สิงหาคม ปีเดียวกัน เขาถูกส่งลงไปแทน ยาสซีน เบนเซี ในรอบเพลย์ออฟที่พบกับ โซเซียดาด และ 3 วันจากนั้นเขาก็ได้เล่นในลีก เอิง ครั้งแรก แถมเป็นการเล่นแบบเต็มเกมกับ เอวิยอง ซีซั่นนั้นเขาได้เล่นไป 17 นัดในทุกรายการและยิงได้ 1 ประตู จากนั้นในฤดูกาลถัดมา 2014/15 เขากลายเป็นนักเตะตัวจริงของทีมแบบถาวาร ลงสนามต่อเนื่องแบบที่ขาดแทบไม่ได้ ได้เล่นถึง 39 เกมในทุกๆ รายการที่แข่งขัน เล่นไป 39 นัด ยิงได้ 15 ประตูในทุกรายการ อาการบาดเจ็บ ฤดูกาล 2015/16 เป็นเหมือนฝันร้ายของ เฟคีร์ ทั้งที่อายุเพิ่งผ่านวัย 20 มาไม่กี่ปี กลับต้องเจออาการบาดเจ็บหนัก ที่เป็นความจริงอันโหดร้าย ทุกอย่างมันดูสวยงาม เมื่อเขาเริ่มฤดูกาลด้วยการทำแฮตทริกในการบุกชนะ ก็อง 4-0 แต่ต้องมาเจ็บเพราะอาการเอ็นเขาฉีก ที่เป็นอาการยอดฮิตของนักกีฬาในยุคหลัง ที่จะลักพาตัวคนเดี้ยงไปแทบทั้งซีซั่น และใช่ครับเขาหายไปทั้งซีซั่นได้เล่นแค่ 9 เกมเท่านั้น แต่ในฤดูกาลต่อมาเขาก็กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ในลีกจะยังจูนได้ไม่ดีเหมือนก่อน แต่ฟอร์มในเกมยุโรปกับทำได้เหลือเชื่อ ลงสนาม 13 นัด ยิงไปถึง 4 ลูก รวมทุกรายการเล่นไป 49 นัด ยิงไป 14 ประตู แม้จะเป็นอัตราที่ไม่มากนัก เแต่ต้องบอกว่าสำหรับคนที่เพิ่งเจ็บหนักหายกลับมา ก็นับว่าน่าพอใจอย่างยิ่ง และดูดีขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่เจ็บซ้ำอีกต่างหาก กัปตันทีม แม้จะอายุแค่ 24 ปี แต่ก็ลงเล่นให้ทีมไปถึง 148 นัดแล้ว เขาได้รับความไว้วางใจให้รับปลอกแขนกัปตันทีมเมื่อปี 2017 และเป็นความหวังของทีมมาโดยตลอด ซีซั่นนี้ยังไม่จบ แต่ก็ยิงถล่มทลายถึง 21 ประตู จากการลงสนาม 34 นัดในทุกรายการ ลียง เป็นที่ 2 ของลีกในตอนนี้ ทีมชาติ ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกทีมชาติ แอลจีเรีย เรียกติดธง ตามสัญชาติของพ่อ แต่เขาก็ตัดสินใจปฏิเสธไป เขาเลือกเล่นให้ฝรั่งเศส ต้องยอมรับว่าโชคร้าย เพราะตำแหน่งที่เขาเล่นมีแข้งชั้นนำจองอยู่มากมาย ทำให้ไม่ค่อยได้โอกาสลงสนามมากนัก ตอนนี้ติดธงไปแค่ 10 เกม และยิงได้เพียง 1 ประตู สไตล์การเล่น ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ กุนซือทีมชาติฝรั่งเศส เคยชมว่าเขาเป็น เพลย์เมกเกอร์ที่ "มีของ" จ่ายบอลให้เพื่อนยิงได้ แถมยิงเองก็มีประสิทธิภาพ เล่นได้ในหลายๆ ระบบ มีความแตกต่างจากคนอื่น มีเทคนิกสูง เคยได้รับคำชมเรื่องการเล่นจาก ซีเนดีน ซีดาน รุ่นพี่ทีมชาติที่มีเชื้อสาย แอลจีเรีย เหมือนๆ กันด้วย เฟคีร์ มีความอันตรายอย่างยิ่งในพื้นที่ของคู่แข่ง เล่นด้วยเท้าซ้ายได้อย่างไร้ที่ติ แถมเป็นนักเตะที่เรียกฟาวล์ได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในลีกรองจาก เนย์มาร์ มีความคล่องตัวสูง เลี้ยงบอลได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของลีก หากจะมีจุดอ่อน อาจเป็นที่หัวเข่าที่เคยเจ็บหนักมาแค่นั้น ซึ่งเอาเข้าจริงผ่านมา 2 ปี เขาก็ไม่น่าจะแหยงแล้วล่ะ การเติมเต็มให้ ลิเวอร์พูล การขาดหายไปของ คูตินโญ่ ที่ย้ายไป บาร์เซโลน่า ไม่ได้ส่งผลอะไรเลยกับ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ จากฟอร์มที่เราเห็นอยู่ แต่ถ้าพูดกันในระยะยาว มันทำให้ "หงส์แดง" ขาดมิติในเกมรุกไป ในด้านของการสร้างสรรค์และการทำเกมหรือจบสกอร์จากแถวสอง การได้ เฟคีร์ มา จะสามารถอุดรอยรั่วตรงนี้ให้หายไปได้ เพิ่มมิติการจ่ายบอลที่ดีขึ้น เพิ่มการยิงไกลเข้ามา เพิ่มอันตรายในแนวรุกเข้าไปอีก แทนที่จะบุกจากความเร็วของกองหน้าอย่างเดียว