logo-heading

"มันเป็นเกมคล้ายกับที่เราเจอกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งหลังจบเกมนี้ ผมก็ไม่กล้าที่จะเจอหน้าแฟนบอลเลย เพราะรู้ว่าเสียความรู้สึกมากๆ และก็เข้าใจพวกเขาครับ ผมช่วยอะไรได้แค่ไหน มันก็เลยสะอื้นในตัวเอง แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ครับ

ผมพูดได้เต็มปากว่า ผมไม่ให้น้องๆ ยอมแพ้ ไม่ยอมให้นักฟุตบอลของผมหยุดแน่นอน เชื่อว่าวันนี้มันไม่ใช่วันของเรา…. ไม่โทษครับ ผมยอมรับเอง ยังไงขอให้ลงที่ผมได้เลยครับ” ส่วนหนึ่งของคำพูดจากลูกผู้ชายที่ชื่อว่า “จุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด หลังพาบางกอกกล๊าส เอฟซี เปิดบ้าน พ่าย ราชนาวี ทีมหนีตกชั้น 0-1 ทำให้ยังรั้งอันดับ 15 ของตาราง มี 20 คะแนน ตามหลังกลุ่มปลอดภัยอยู่ถึง 4 คะแนนด้วยกัน และเหลือการแข่งขันอีกเพียง 15 เกมเท่านั้น

ในวันที่น้ำตาลูกผู้ชายต้องร่วงริน มันเป็นคำพูดที่เปล่งออกมาพร้อมกับน้ำตาสะอื้นคลอเบ้า แสดงออกถึงความรู้สึกกดดันสุดๆ กับหน้าที่กอบกู้สถานการณ์ของสโมสรที่กำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอย่างหนัก ทว่าเปิดเลกสองมาสองเกม “บีจี” กลับพ่ายแพ้ทั้งสองนัดต่อบุรีรัมย์ และ ราชนาวี ชนิด “คาบ้าน” ทั้งสองเกมด้วย อันที่จริง “โค้ชจุ่น” นับเป็นกุนซือหนุ่มที่ผ่านร้อน หนาว ฝน แดด มาโชกโชนบนถนนสายลูกหนังนี้ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเตะทั้งสโมสร และทีมชาติ จวบจนปัจจุบัน ที่ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน เขาก็เคยผ่านการคุมทีมชาติชุดเล็กมาแล้ว ก่อนจะกลับมาอยู่กับ บางกอกกล๊าส ในปัจจุบัน “แต่ทำไมสถานการณ์ครั้งนี้ เขาถึงกับต้องร้องไห้ออกมา นั่นเป็นเพราะความกดดันครั้งนี้ คงเป็นครั้งที่มากมายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเลย” กดดันเพราะ ครั้งหนึ่ง “โค้ชจุ่น” เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาหวั่นใจว่า สโมสรที่เขารักแห่งนี้ จะเลิกทำทีม เช่นเดียวกับทีมวอลเลย์บอล บางกอกกล๊าส วีซี ที่ยุบทีมไปแล้ว ถ้าหากทีมต้องตกชั้นจริงๆ ไม่เพียงแค่เขาที่อาจต้องตกงาน น้องๆ นักฟุตบอล ทีมงาน และบุคลากรสโมสรทุกคนที่เขารู้จัก ก็อาจจะต้องตกงานไปด้วย ฉะนั้น เขาไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อให้ทุกคนยังได้ทำงานที่ตนเองรัก กับสโมสรที่พวกเขารักต่อไป

ในวันที่น้ำตาลูกผู้ชายต้องร่วงริน

อีกหนึ่งสิ่งนั่นคือ เขาได้รับการซัพพอร์ตที่ยอดเยี่ยมจากสโมสร ในการไล่ล่านักเตะที่ต้องการในช่วงเปิดตลาดรอบสอง ทั้ง อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, อาเรียล โรดริเกวซ และดึงตัว ศราวุฒิ มาสุข กลับสู่ทีม เมื่อบวกกับนักเตะที่มีอยู่ ทั้ง “โตติ”, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, พีรพงศ์ พิชิตโชติรัตน์, มาริโอ ยูรอฟสกี้, แมตต์ สมิธ, เฉลิมศักดิ์ อักขี หรือแม้แต่ สุรชาติ สารีพิมพ์ ซึ่งด้วยขุมกำลัง “กระต่ายแก้ว” ควรอยู่แดนบนของตารางไล่ล่าแชมป์ ไม่ใช่หนีตายแบบสุดๆ เช่นนี้ ต้องแบกรับภาวะความกดดัน เพื่อพี่ เพื่อน้อง เพื่อเพื่อน และเพื่อสโมสร ทำให้การกลับมาครั้งนี้ของ “โค้ชจุ่น” ไม่ได้ดูยิ้มแย้มเหมือนเก่า เราได้เห็นแต่สีหน้าหม่นหมอง และความเครียดบนใบหน้า จนถึงขั้นมีน้ำตาคลอที่เบ้าในห้องแถลงข่าว “น้ำตาที่คลอเบ้า ทำให้เราลืมไปเลยว่า ผู้ชายคนนี้แหละที่เคยพา บางกอกกล๊าส คว้าแชมป์เอฟเอคัพ เมื่อ 4 ปีก่อน” บางทีการเป็นโค้ชนั้น ก็เหมือนกับการทำธุรกิจสักอย่าง มันต้องมีขวบปีที่แย่ และช่วงเวลาที่ดี คละเคล้าปะปนกันไป แล้วแต่สถานการณ์ อนุรักษ์ ศรีเกิด อาจจะผ่านสามครั้งแรกกับ “บีจี” ในการเป็นเฮ้ดโค้ชได้อย่างดีเยี่ยม แต่ครั้งนี้ในรอบที่สี่ ฟ้าฝนดูเหมือนไม่ได้เป็นใจ สถานการณ์เลยไม่ง่ายอย่างที่คิด ก็ได้แต่หวังลึกๆ ในใจว่า ทีมระดับ “บางกอกกล๊าส เอฟซี” จะไม่ถึงกับตกชั้นนะครับ….

“จอน”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline