logo-heading

ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลง หลายคนเริ่มมองเห็นได้ โดยเฉพาะนโยบายการเสริมทัพที่ดูดีก้าวกระโดด และอาจพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จได้เสียทีก็ได้

ลิเวอร์พูล กลายสภาพเป็นทีมที่น่ากลัวจากความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของทีมที่มาตั้งแต่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ โดยเฉพาะแผนการเสริมทัพ ที่เรียกได้ว่าพลิกจากฝ่าเท้าเป็นหน้ามือ โครงสร้างถูกรื้อใหม่ทั้งหมด ไม่มีนักเตะที่เรียกว่า "ใครก็ไม่รู้" เข้ามาอีกแล้ว เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกใช้อย่างที่ควรจะเป็น และได้นักเตะอุดช่องโหว่ได้อย่างที่ต้องการ แล้วตรงไหนบ้างที่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว จริงๆ จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปหลายไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส หรือตอนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมใหม่ๆ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่เสริมทัพได้แย่ นักเตะที่ได้มา บางครั้งไม่ใช่คนที่ต้องการ ทำให้เกิดส่วนเกินในทีมมากมาย พร้อมกับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายออกไปแบบไม่คุ้มค่า "เดอะ ค็อป" ได้เห็นคนอย่าง ลาซาร์ มาโควิช, มาริโอ บาโลเตลลี่, ติอาโก้ อิยอรี่, มาร์โก กรูยิช หรือแม้แต่ ดิวอค โอริกี้ ที่บอกตามตรงว่าต่อให้คนเหล่านี้ยังอยู่ ก็แทบไม่มีที่ในทีมชุดใหญ่แล้ว เหล่านั้นคือการทำงานภายใต้ผู้อำนวยการกีฬาที่ชื่อว่า เอียน ไอร์ ทั้งหมด และนั่นดูเหมือนจะไม่ใช่ผลงานที่น่าพอใจนัก ไม่ว่าจะเป็นกับกุนซืออย่าง คล็อปป์ และบอร์ดบริหาร ปัจจุบันนี้คนที่ทำหน้าที่เจรจาซื้อขาย คือชายที่ชื่อว่า ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด อดีตผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค ที่โดนดันให้มานั่งตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา แทนที่ของ ไอร์ และนั่นทำให้นโยบายการเสริมทีมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กล้าใช้เงิน ลิเวอร์พูล เดิมทีเป็นทีมที่ไม่ได้มีเงินทุนสูง เจ้าของ เฟนเวย์ สปอร์ตกรุ๊ป ไม่ได้เป็นกลุ่มทุนเงินถุงเงินถัง ฤดูกาลหนึ่งมีเงินเสริมทัพถึง 100 ล้านก็เก่งแล้ว มีงบไม่มากยังไม่พอ มีงบ 100 ล้านซื้อมาที 7-8 ตัวด้วย ทำให้ได้แต่นักเตะเกรด ซี ถึง บีลบ มาร่วมทีมอยู่บ่อยๆ และมันไม่สามารถเติมเต็มจุดอ่อนที่มีได้ จนกระทั่งถึงตอนที่เริ่มมีเงินทุน จากการค้าที่สามารถทำกำไรสูงๆ ได้เสียทีอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่กดไปถึง 142 ล้านปอนด์ให้ บาร์เซโลน่า ตอนนี้ พอมีเงิน ก็กล้าใช้ ต้องชมการวางนโยบายจุดนี้ด้วย คือรู้ตัวว่าควรใช้ มีเงินเยอะใช้ และกล้าใช้ซื้อนักเตะคนเดียวในราคาแพงๆ อย่างไม่เคยทำมาก่อน แน่นอนคงมีคนมาแซะมาเกรียนบ้าง แต่นั่นเป็นปัจจัยภายนอก ผลดีคือทีมพัฒนาขึ้นชัดเจน ที่จริงเรื่องการขาย คูตี้ ได้แพงนี่ก็ต้องชมด้วย เพราะพวกเขากล้าที่จะรั้งนักเตะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน จิ้มมา 100 ล้านแรก คงปล่อยไปแล้ว แต่นี่กล้ารั้ง กล้าสู้แบบที่รู้ว่าตัวเองมีดีจะสู้ จนสามารถทำกำไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ปิดดีลได้รวดเร็ว ลิเวอร์พูล ก็เหมือนทีมทั่วไป ที่อยากได้ใครก็จะมีข่าวมาก่อน บางทีเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง โดนตัดหน้าบ้าง โดนโก่งบ้าง แต่ในซัมเมอร์นี้คือปรากฎการณ์ใหม่ นักเตะที่พวกเขาเป็นข่าว ไม่มีใครเป็นข่าวนาน สุดท้ายก็ปิดดีลได้แบบฉับไว มีข่าวไม่กี่วันนักเตะบินตรวจร่างกายเปิดตัวกับในเวลาแค่วันสองวัน เชื่อว่าจุดเปลี่ยนเรื่องนี้มาจากดีลของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ครั้งแรกที่พวกเขาไปติดต่อซื้อ ทำให้เกิดปัญหากับ เซาธ์แฮมป์ตัน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสื่อพากันประโคมข่าวการติดต่อนักเตะโดยไม่ผ่านสโมสร จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จากจุดนั้นทำให้ "หงส์แดง" วางแผนในการดึงตัวนักเตะแต่ละคนแบบเป็นขั้นเป็นตอน มีการวางแผนกันแบบโป้งเดียวเอาให้จบ เพือป้องกันการโดนโก่ง โดนตัดหน้า กว่าข่าวจะออกว่า ลิเวอร์พูล สนใจ ตอนนั้นก็ได้ใจนักเตะไปครึ่งตัวแล้ว แก้ปัญหาตรงจุด การซื้อนักเตะของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ผ่านมาก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงคือการเสริมตัวนักเตะระดับที่ใช้งานไม่ค่อยได้เข้ามา ในจุดที่ต้องเติมบ้างไม่ต้องเติมบ้าง แต่ตอนนี้ ขาดกองหลังซื้อกองหลัง และเป็นกองหลังเกรดพร้อมใช้ ขาดประตูซื้อประตู ขาดกองกลางซื้อกองกลาง ขาดตัวรุกสำรองก็ซื้อตัวรุกสำรอง แถมได้ในราคาที่สมเหตุสมผล แม้ว่าจะแพงเป็นสถิติโลกอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับกลไกตลาด ก็มองว่าไม่ใช่ราคาที่สูงจนเกินรับได้ในยุคที่นักเตะราคาพุ่งแตะ 100 ล้านเป็นว่าเล่น เหล่านี้คือสัญญาณที่ดีของความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของ ลิเวอร์พูล ในตลาดซัมเมอร์นี้ การเสริมทีมของเขาอุดรอยรั่วที่เคยมีได้แน่นอนอย่างน้อยๆ ก็บนหน้าเสื่อ เมื่อนักเตะกลับมาร่วมทีมกันพร้อมๆ กลับมาฟิต วางระบบกลับมา จะได้เห็นกันว่าการเสริมทัพครั้งนี้มีประสิทธิภาพหรือไม่
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline