logo-heading

กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 “จาการ์ตา & ปาเลมบัง 2018” ที่อินโดนีเซีย มีนัดจุดกระถางคบเพลิงเริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.นี้

แต่บางชนิดกีฬาต้องแข่งขันก่อนพิธีเปิดจะเริ่ม ฟุตบอลชายเตะกันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. ส่วนทัพ “ช้างศึก” ดีกรีอันดับ 4 จาก “อินชอนเกมส์” จะประเดิมนัดแรกวันที่ 14 ส.ค.นี้

คิวเตะของนักเตะจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาประกอบด้วย วันที่ 14 ส.ค.พบ กาตาร์ เวลา 19.00 น. วันที่ 16 ส.ค.พบ บังกลาเทศ เวลา 16.00 น. วันที่ 19 ส.ค. พบ อุซเบกิสถาน เวลา 19.00 น.

เป้าหมายของทีมชาติไทยมีหลายมุมมอง น้อยคนนักที่กล้าคาดหวังถึงขั้น “ลุ้นเหรียญ” แต่ก็มีบ้างที่บอกว่าต้องเข้าให้ถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายเหมือนที่นักเตะไทยเคยทำได้มาแล้ว 4 สมัย

ทว่าหลายๆคนมองว่าเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ก็หรูแล้ว และอีกมากมายที่มีคำถามว่า “จะผ่านรอบแรกได้หรือเปล่า ?”

นี่คือเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่คนไทยน่าจะไม่มีความมั่นใจกับทีมชาติไทยมากที่สุดในรอบหลายๆ ปี

รอด่า “โค้ชโย่ง” ?!?!

ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนั้น เพราะดูจากสภาพการเตรียมทีมแล้วอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง แต่ที่ถูกพุ่งเป้ามองมากที่สุดคือตัวกุนซือ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ

อดีตตำนานกองหน้าทีมชาติไทยร่างยักษ์รายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดตั้งแต่รับงานคุททีมชาติไทยเมื่อสมัยซีเกมส์ ครั้งที่ 29 “กัวลาลัมเปอร์ 2017” ที่มาเลเซีย

ด่าตั้งแต่เตรียมทีม บ้างก็ว่าอ้วน พุงโต !!! แม้สุดท้ายนักเตะไทยจะได้แชมป์ซีเกมส์ แต่ “โค้ชโย่ง” ที่ทำผลงานได้ตามเป้ายังถูกด่าอยู่ดี

บอลไม่มีทรงบ้าง เล่นไม่ประทับใจบ้าง ดวงดีบ้าง ด่าจน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ บ้าจี้ไม่ให้ “โค้ชโย่ง” คุมทีมไปแข่ง “ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2018” รอบสุดท้ายที่จีนต่อ

แต่ผลงานของทีมชาติไทยในทัวนาเมนต์นั้นก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า คนที่โดนด่าคือ โซรัน ยานโควิช ที่รับงานคุมทีมแทน กระทั่งสุดท้ายต้องโบกมือลาเมืองไทยไปในที่สุด

ส่วน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่เลือก “โซรัน” เข้ามาทำทีมก็ “หมดมุข” ต้องให้ “โค้ชโย่ง” กลับมาเป็นเฮดโค้ชคุมทีมระดับอายุไม่เกิน 23 ปีอีกครั้ง

ภารกิจ “จาการ์ตา & ปาเลมบัง 2018” จึงเป็น “โค้ชโย่ง” ที่สวมบทแม่ทัพนำทีมไป ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตามมาเหมือนเดิม

รอด่า “โค้ชโย่ง” ?!?!

หลายคนบอกเลยว่า “ปูเสื่อรอ” ไม่ได้รอชมนะ แต่ “รอด่า” !!!

เหตุผลน่าจะมีหลายปัจจัย ทั้งบุคลิกส่วนตัวของ “โค้ชโย่ง” ที่ไม่ได้ “ภาพสวย” มาตั้งแต่สมัยเป็นนักฟุตบอล ลีลาการให้สัมภาษณ์หรือตอบคำถามออกแนวกวนๆ และตรงๆ

รวมถึงแนวทางการทำทีมที่โค้ชแต่ละคนมีสไตล์แตกต่างกันไป ทั้งการเลือกตัวผู้เล่น แทกติกการเล่น

แน่นอนละครับว่าคงทำอะไรให้ถูกใจทุกคนไม่ได้ อย่างคำว่า “บอลมีทรง” ที่ชอบพูดๆกันก็ไม่ได้มีคำจำกัดความที่ชัดเจน ทรงบอลแต่ละคนยังมองไม่เหมือนกันเลย

เอาเป็นว่าวัดกันที่ผลงานแล้วกันครับ ตัวของ “โค้ชโย่ง” รู้ดีอยู่แล้วว่า “พลาดไม่ได้”

แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่าหลายๆอย่างในเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้มันมีที่มาที่ไป ไม่ใช่แค่เรื่องโค้ช แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมต่างๆอีกมากมาย

แรกเริ่มเดิมที สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องการปรับแนวคิดและวิธีการใหม่ “ไม่หยุดลีก” ให้เอเชี่ยนเกมส์ เพราะมีผลกระทบต่อ “ลีก” และคิวทีมชาติชุดอื่นๆดังที่เคยเป็นปัญหามาตลอด

รวมถึงเป็นการวางแผนให้เอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้เป็นการเตรียมทีม “ยู-21” เพื่อไปลุ้น “ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020” ในอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อลุ้นตั๋วไปกีฬาโอลิมปิก “โตเกียว 2020” ที่ญี่ปุ่น

หลายชาติใช้นโยบายนี้ในการส่งทีมแข่งขันระดับเอเชี่ยนเกมส์มาหลายปีแล้ว

แต่นโยบายนี้ใช้ไม่ได้ที่เมืองไทยเพราะได้รับแรงกดดันจากหลายภาคส่วน สุดท้ายจึงต้องกลับลำ “หยุดลีก” เพื่อให้ทีมชาติไทยได้นักเตะตัวหลักจากสโมสรมาร่วมทีม

แผนการทำทีมจึงเปลี่ยนไป รวมถึงเป้าหมายจาก “ไม่คาดหวัง” กลายเป็น “ต้องหวัง”

ทว่าลีกที่หยุดดูแล้วเป็นการหยุดเพื่อไปแข่งขันจริงๆ แต่ไม่ได้หยุดเพื่อ “เตรียมทีม” ทีมชาติไทยได้รวมทีมกันแบบเต็มทีมเพียงแค่ 3 วันก่อนขึ้นเครื่องไปแดนอิเหนา

ส่วนตัวผู้เล่น 20 คนชุดเอเชี่ยนเกมส์ที่ “โค้ชโย่ง” เลือกเป็นที่วิพากษ์กันมากมายเช่นกัน ไม่ต้องไปเถียงกันให้เสียเวลา เหตุผลเดียวสั้นๆที่ตอบได้ครบทุกอย่างคือ “โค้ชชอบ”

ไม่ว่าทีมชาติไหน ยุคสมัยใด นักเตะประเภท “โค้ชชอบ” และ “โค้ชไม่ชอบ” มีอยู่แล้ว ถ้าเลือกแล้ว “ใช่” ก็รอดตัว แต่ถ้า “ไม่ใช่” ตัวโค้ชต้องรับผิดชอบผลงานไป ง่ายๆเท่านี้

รอด่า “โค้ชโย่ง” ?!?!

ส่วนโควต้าผู้เล่นอายุเกิน 23 ปี 3 คนที่ไม่ถูกเลือกใช้งานเลย “โค้ชโย่ง” บอกถ้าไม่ได้ ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็ไม่เอา !!!

คำตอบอาจจะกวน แต่เหตุผลว่าถ้าไม่ได้ตัวที่พลิกผลการแข่งขันได้อย่าง “มุ้ย อุ้ม เจ” มาเล่นก็ให้โอกาสเด็กดีกว่าเพื่อเก็บประสบการณ์สำหรับอนาคตต่อไปน่าจะฟังขึ้น

ย้อนกลับมาที่เหตุผลเดิมนั้นละครับว่าทีมชุดนี้มีเป้าหมายจริงๆ ตั้งแต่แรกคือการลุ้นตั๋ว “โตเกียวเกมส์ 2020” ดังนั้นถ้าไม่ได้รุ่นพี่ประเภท “ตัวท็อป” มาจริงๆ ก็สร้างเด็กดีกว่า

ตรงนี้ถือว่าแล้วแต่มุมองที่จะเห็นด้วยหรือไม่นะครับ ที่แน่ๆ จาก 20 คนในทีมชุดนี้มีถึง 12 คนที่อายุไม่เกิน 21 ปีที่อีก 2 ปีข้างหน้าจะสามารถลุ้นตั๋วโอลิมปิกเกมส์ได้

แต่แน่นอนละครับว่าหลายคนมักไม่ชอบรอคอยความสำเร็จระยะยาว อะไรที่อยู่ใกล้ จับต้องได้คือต้องได้ไว้ก่อนเสมอ การ “ต่อยอด” ของฟุตบอลไทยจึงมักไม่ค่อยไปไหนไกล

ทั้งหมดไม่ใช่ “ข้ออ้าง” แต่คือ “ข้อเท็จจริง” ของทีมชาติไทยชุดเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้ ส่วนใครจะรอเชียร์หรือรอด่าก็สุดแท้แต่จะพิจารณานะครับ.....พี่น้องชาวไทย

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline