logo-heading

สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เปิดรับสมัคร “ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี” มาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่มีข่าวว่าใครโผล่ไปสมัครบ้าง !!!

ไม่มีข่าวใช่ว่าจะไม่มีความคืบหน้า เท่าที่ทราบตอนนี้มีรายชื่อในลิสต์แล้วอย่างน้อย 3 ราย ทั้งหมดที่ว่าเป็น “ต่างชาติ” ล้วนๆ ไม่มีผู้ฝึกสอนชาวไทยเลย ดูแล้วไม่น่าแปลกใจสักนิดที่จะเป็นกุนซือต่างชาติอยู่ในโผ เพราะตามสเปคที่สมาคมฯกำหนดทำให้ตัวเลือกโค้ชคนไทยมีน้อยเหลือเกิน คุณสมบัติข้อแรกเลยคือต้องเป็นกุนซือระดับ “โปร ไลเซนส์” โค้ชใหม่ “ยู-23” ? แค่ข้อแรกก็กรองได้หลายคนแล้ว รายชื่อที่คนเชียร์อย่าง “น้าฉ่วย” สมชาย ฉวยบุญชุม “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ หรือ “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ยังไม่ผ่าน “โปร ไลเซนส์” ทั้งนั้น ส่วนโค้ชที่เพิ่งจบ “โปร ไลเซนส์” ไปสดๆหมาดๆแทบจะไม่มีใครว่างงาน คุณสมบัติข้อที่ว่า “ต้องทำงานเต็มเวลา” ทำให้ตัดตัวเลือกออกไปได้อีกหลายคน ที่คนเชียร์เยอะสุดคือ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตกุนซือทีมชาติไทยที่ถือเป็น “โค้ชทีมชาติไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด” น่าจะติดเงื่อนไขนี้ “ซิโก้” มีภารกิจนอกสนามเยอะแยะตั้งแต่สมัยคุมทีมชาติไทยแล้ว อีกทั้งตอนนี้ “มูลนิธิซิโก้” ยังมีงานอีกมากมาย ดังนั้นไม่น่าจะเข้าข่ายทำงานได้แบบ “ฟูลไทม์” ส่วนอีกคนที่แฟนบอลเชียร์คือ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน ยังมีภารกิจพาทีมโปลิศ เทโร หนีตกชั้นในไทยลีกอยู่ และ “สุภาพบุรุษลูกหนัง” เคยบอกว่าไม่คิดคุมทีมชาติไทย คนอื่นที่ชื่อคุ้นหูและชั่วโมงบินสูงในไทยลีกล้วนมีสังกัด ทั้ง มาโน่ โพลกิ้ง ของแบงค็อกฯ “เซอร์เด็จ” จเด็ด มีลาภ ของการท่าเรือ “โค้ชโบ้” จักรพันธ์ ปั่นปี ของชลบุรี ที่ไม่ได้คุมทีมระดับไทยลีกต่างมีงานกันเกือบหมดเหมือนกัน ไล่เรียงตั้งแต่ “โค้ชแดง” ทรงยศ กลิ่นศรีสุข ที่ทำหน้าที่วิทยากรอบรมผู้ฝึกสอนของสมาคมฯอย่างต่อเนื่อง “โค้ชนพ” นพพร เอกศาสตรา และ “โค้ชกล้ำ” ธีระเวคิน สีหะวงศ์ คุมหนองบัว พิชญในไทยลีก 2 ขณะที่ “โค้ชจุ่น” จตุพร ประมลบาน ที่มีข่าวเกือบได้คุมทีมเยาวชนไทยอายุ 19 ปีทำทีมบอลนักเรียนอยู่ ส่วน ธงชัย รุ่งเรืองเลิศ คุมทีมเยาวชนไทยอายุไม่เกิน 16 ปีไปแล้ว รายของ “โค้ชเศก” เศกสรร ศิริพงษ์ นี่แว่วว่าเพื่อนร่วมรุ่นเชียร์เยอะเพราะเป็น “คนจริง” แต่เขาคนนี้เป็นทุกอย่างตั้งแต่ประธานสโมสรยันผู้ฝึกสอนของกำแพงเพชรในไทยลีก 3 ส่วน “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล และ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ที่เพิ่งจบ “โปร ไลเซนส์” เหมือนกันนี่ไม่ต้องพูดถึง รายแรกเพิ่งโดนลดบทบาทจากสมาคมฯ ส่วนรายที่สองเพิ่งลาออกมา เช่นเดียวกันกับ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ที่จบ “โปร ไลเซนส์” ก่อนใครเพื่อนนี่ไม่ต้องลุ้นเหมือนกันว่าจะไปทำทีมชาติไทยอีก ตอนนี้สังกัดอยู่ บางกอกกล๊าส คนอื่นที่เหลือที่ไม่ได้เอ่ยถึงไม่ใช่ว่าไม่เก่ง ไม่มีฝีมือ แต่ต้องยอมรับว่าชื่อชั้น หรือ “พรรษา” ยังไม่ถึงระดับลุ้นเป็นกุนซือทีมชาติไทยที่มีเป้าหมายถึง “โอลิมปิก” ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากรายชื่อและองค์ประกอบแวดล้อมต่างๆของแต่ละคนที่เพิ่งจบ “โปร ไลเซนส์” แล้วจึงฟันธงได้เลยว่ากุนซือทีมชาติไทยชุดยู-23 น่าจะเป็นต่างชาติแน่นอน เชื่อว่าสมาคมฯคงไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะมีโค้ชคนไทยคนไหนมาสมัคร เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าสภาพความเป็นจริงเป็นอย่างไร โค้ชใหม่ “ยู-23” ? การเปิดรับสมัครเป็นการทำขั้นตอนตามระบบราชการให้ดูโปร่งใสเท่านั้น นี่คือวิธีการที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯที่เคยรับราชการตำรวจมักนำมาใช้บ่อยๆ ถามว่าวิธีการเปิดรับสมัครแบบนี้ดีหรือไม่คงแล้วแต่มุมมอง มุมหนึ่งอาจมองว่าโปร่งใสแบบเคลียร์ๆ แต่อีกมุมอาจมองว่าไม่เข้าท่าสำหรับคำว่าทีมชาติไทย เอาเป็นว่าแล้วแต่มุมมองก็แล้วกัน แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้ชัดๆคือนโยบายของสมาคมฯต่อ “โอลิมปิก 2020” พังไม่เป็นท่าไปแล้ว !!! สมาคมฯวางแผนล่วงหน้าเป็นปีๆเพื่อเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ “ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020” รอบสุดท้าย เพื่อลุ้นตั๋วไป “โตเกียว เกมส์” นอกจากนั้นยังวางแผนเตรียมทีมเน้นนักเตะอายุน้อยมาตั้งแต่ “ซีเกมส์ 2017” ที่มาเลเชีย ต่อเนื่องมา “เอเชี่ยนเกมส์ 2018” ที่อินโดนีเซีย แล้วมุ่งต่อไป “ซีเกมส์ 2019” ที่ฟิลิปปินส์ เป้าหมายสุดท้ายคือ “ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020” แผนทุกอย่างทุกวางไว้เป็นสเตปแบบนี้ แต่เมื่อ “เอเชี่ยนเกมส์” ล้มเหลว แผนที่ทำกันไว้และเดินกันมาจึงพังทลายก่อนถึงจุดหมาย การรับสมัครโค้ชใหม่จึงเปรียบเสมือนการเริ่มนับ 1 ใหม่ ซึ่งมันอาจจะดีขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ต่างจากเดิม ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้

แต่จากสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คิดว่าตัว “กุนซือ” คงไม่สำคัญเท่า “นโยบาย” หากสมาคมฯ ไม่แข็งพอและเอาแต่ “ตามกระแส” ต่อให้เปลี่ยนโค้ชอีกกี่คน....มันก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา

 

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline