logo-heading

ฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก 2018” ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วพร้อมกับความสำเร็จของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ทำสถิติใหม่เป็นแชมป์ที่ได้คะแนนเยอะสุดถึง “87 คะแนน”

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดกับตำแหน่ง “แชมป์สมัยที่ 6” ของขุนพล “ปราสาทสายฟ้า” เพราะนี่คือสโมสรที่มีความเพียบพร้อมมากที่สุดของเมืองไทย คงไม่มีใครกล้าเถียงว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีเงินทำทีมมากมายมหาศาล สามารถเนรมิตและจัดการหลายๆอย่างให้เป็นไปตามระบบที่ “ฟุตบอลอาชีพ” ควรจะมี ที่สำคัญสุดและเป็นความแตกต่างกับทีมอื่นอย่างชัดเจนคือ “นักเตะต่างชาติ” ว่ากันว่าค่าจ้างแต่ละคนไม่ต่ำกว่า “หลักล้านบาท” ต่อเดือน บ๊ายบาย “โปลิศ เทโร & บีจี” ดังนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แกร่งทุกฤดูกาลคือ “ตัวต่างชาติ” เพราะซื้อมาแต่ละทีคือ “โดน” ถ้าไม่โดนก็อยู่ได้ไม่นาน คีย์แมนสำคัญคือ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต ที่เงินเดือนล้านเดียวเอาไม่อยู่ ยิงทะลุ 100 ประตูในไทยลีกไปแล้ว พร้อมซิวตำแหน่งดาวซัลโวฤดูกาลนี้ 34 ประตู แบบกดไป 3 แฮตทริก ส่วนผู้เล่นไทยต้องยอมรับว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน นำโดย จักรพันธ์ แก้วพรม ที่กลายเป็น “มิสเตอร์ไทยลีก” ไปแล้วด้วยการทำสถิติ “แชมป์ไทยลีก 7 สมัย” มากกว่าใครๆ ขุมกำลังคนอื่นๆก็ถือว่าลงตัว ประกอบกับ “คู่แข่งลุ้นแชมป์” ในฤดูกาลนี้ไม่แรงอย่างที่คิดด้วยจึงทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้าป้ายไปในที่สุด จากความสำเร็จของ “ปราสาทสายฟ้า” เลื่อนลงไปดูบทสรุปตรงท้ายตารางคะแนนบ้าง นี่คือฤดูกาลที่มี “ดราม่า” จนถึงวินาทีสุดท้ายของการหนีตกชั้น แอร์ฟอร์ซ​ เซ็นทรัล ตกชั้นเป็นทีมแรก ต่อด้วย อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด และ ราชนาวี ที่ไล่เรียงกันมาตามลำดับแบบไม่ได้ฮือฮาแต่อย่างใด เพราะถูกคาดหมาย “เต็งตกชั้น” อยู่แล้ว แต่อีก 2 ทีมที่ต้องไปเล่น “ไทยลีก 2” ถือว่าพลิกความคาดหมายไม่น้อยเมื่อทั้ง โปลิศ เทโร และ บางกอกกล๊าส กลายเป็นทีมที่ต้องร่วงไปลีกรอง !!! ที่ฮือฮาเพราะรากเหง้าดั่งเดิมของทั้ง 2 สโมสรเคยได้แชมป์ระดับไทยลีกมาแล้วถึง 2 สมัยตั้งแต่ตอนที่ยังเป็น บีอีซี เทโรศาสน และ ธ.กรุงไทย บ๊ายบาย “โปลิศ เทโร & บีจี” บีอีซี เทโรศาสน เริ่มเล่นมาตั้งแต่ไทยลีกครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2539  และเป็นทีมสุดท้ายที่อยู่ยงคงกระพันเล่นในลีกสูงสุดทุกครั้งก่อนจะต้องตกชั้นในปีนี้ จากฉายา “มังกรไฟ” ที่ไปไกลถึง “รองแชมป์เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก” เป็นทีม “เจ้าบุญทุ่ม” ที่มีเงินทำทีมมหาศาล มีสนามฟุตบอลของตัวเอง (สนามหนองจอก) ก่อนใคร แต่ระหว่างทางจนมาถึงคำว่า “มังกรโลห์เงิน” มีเรื่องราวมากมายกับสโมสรแห่งนี้ จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 2015 ที่ทีมจบด้วยอันดับที่ต้องตกชั้น แม้จะโชคดีที่มีการ “ยุบทีม” ของบางสโมสรทำให้ บีอีซี เทโรศาสน ไม่ต้องตกชั้น แต่ผู้บริหารทีมที่มีเรื่องพอใจการจัดการแข่งขันได้ตัดสินใจ “ขายสโมสร” การปล่อยนักเตะดาวรุ่งตัวหลักๆทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธิ์, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยา และ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ออกจากทีมคือสัญญานแรกที่ทำให้เห็นแววของทีมในอนาคต ทีมลุ่มๆดอนๆนับจากนั้นก่อนจะได้พันธมิตรอย่าง “ตำรวจ” จนมารวมทีมเป็น โปลิศ เทโร แต่ด้วยการทำทีมแบบ 2 ขา 2 ฝั่ง” เลยวุ่นวายนอกสนามมาตลอด ฤดูกาลนี้ “มังกรโลห์เงิน” ใช้โค้ชไป 3 คนเปลี่ยนไป 4 รอบ พร้อมข่าวลือนอกสนามตลอดฤดูกาล จนสุดท้ายต้อง “แพ้ภัยตัวเอง” ตกชั้นไปในที่สุด บ๊ายบาย “โปลิศ เทโร & บีจี” ขณะที่ บางกอกกล๊าส รับโอนสิทธิ์จาก ธ.กรุงไทย อดีตแชมป์ไทยลีก 2 สมัยมาตั้งแต่ปี 2009 จากนั้นพัฒนาทีมแบบรอบด้านต่อเนื่องมาตลอดด้วยเม็ดเงินลงทุนที่มหาศาล ฤดูกาลนี้ทีมทุ่มซื้อนักเตะราคาแพงรวมๆแล้วมูลค่าเฉียดๆร้อยล้านบาทเพื่อเป้าหมายตอนก่อนเปิดฤดูกาลที่ประกาศเอาไว้ว่า “ลุ้นแชมป์” นอกจากลงทุนตัวผู้เล่นแล้ว ทีมยังเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ทั้งโลโก้และสีสโมสร รวมถึงเปลี่ยนพื้นสนามจากหญ้าเทียมเป็นหญ้าจริง แต่ไม่รู้ใครไปซื้อ “จิ๊กซอว์ตัวต่างชาติ” มาผิดตัว แถมช่วงออกสตาร์ทสนามยังไม่เสร็จ ทีมต้องเล่นเกมเยือนมากกว่าเหย้า แล้วเกิดออกตัวไม่ดีเลยออกอการตุปัดตุเป๋มาตลอด !!! จากที่ว่าจะไม่มีการ “ปลดโค้ช” ก็ต้องปลดแล้วไปดึงโค้ชคนเก่าคัมแบ็กกลับมาทำทีม ทีมทำท่าจะรอดอยู่แล้ว แต่ 2 นัดสุดท้ายที่เล่นในบ้านดันเก็บได้แค่แต้มเดียวแบบไม่น่าเชื่อ ที่สุดแล้วทีมที่มีทั้งเงินและความพร้อมต่างๆแบบไม่เป็นรองใครอย่าง บางกอกกล๊าส จึงต้องตกชั้นไปเป็นทีมที่ 5 แบบช็อกทั้งแฟนตัวเองและวงการฟุตบอลไทย ถึงตรงนี้คงต้องบอกว่าดีใจด้วยกับทีมที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เสียใจด้วยกับทีมที่ผิดหวัง โดยเฉพาะทีมที่ตกชั้นไปอย่าเพิ่งถอดใจ “ตกได้ ต้องขึ้นได้” แล้วกลับมาสู้ต่อกันใหม่ในฤดูกาล 2019  

                                                                                        “บับเบิ้ล”

   
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline