ท่ามกลางสัปดาห์โปรแกรมทีมชาติอันแสนเงียบเหงา เพราะการรับชมถ่ายทอดสด เป็นอะไรที่หาดูได้ยากเหลือเกิน ก็เลยลองย้อนกลับไปดูฟอร์มการเล่นของนักเตะต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา จะได้เห็นว่านักเตะดังหลายๆคนที่ย้ายทีมแล้ว กลับโชว์ฟอร์มดีขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสโมสร เชลซี
เพราะ เชลซี มีนักเตะในทีมล้นหลาม แต่ฟุตบอลกลับลงได้เพียงแค่ 11 คน เท่านั้น ทำให้หลายคนขอเก็บข้าวของย้ายออกจากทีม เพื่อโอกาสที่ดีกว่า ฉะนั้นไปดูกันว่าใครที่ย้ายออกจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แล้วชีวิตดูดีขึ้นมาบ้าง
5. รูเบน ลอฟตัส ชีค & เมสัน เมาท์
เอาจริงๆเลยว่า เชลซี เป็นสโมสรที่กั๊กตัวดาวรุ่งไว้เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะปล่อยตัวให้สโมสรอื่นยืมไปใช้งานอย่างเดียว หลายคนก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังอยู่กับ "สิงห์บลูส์" แต่ถ้าพูดถึงนักเตะที่ออกไปหาประสบการณ์แล้วได้ดี ต้องมีชื่อของ รูเบน ลอฟตัส ชีค
โดยซีซั่นก่อนถูกส่ง คริสตัล พาเลซ ยืมตัว และได้ลงเล่นสม่ำเสมอ 24 นัด ทำไป 2 ประตู เซอร์ไพรส์ถึงขั้นถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษ ไปลุย ฟุตบอลโลก 2018 มาแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ต้องกลับไป เชลซี ก็ดับอีกครั้ง
ส่วนอีกคน กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ถูกจับตาไว้ว่าจะเป็นอนาคตของทีมชาติอังกฤษ คนต่อไป นั่นคือ เมสัน เมาท์ มิดฟิลด์ตัวรุก ที่ เชลซี ปล่อยให้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ทีมในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ยืมตัว เพราะฟอร์มกำลังแรงสุดๆ หลังซัดไปแล้ว 3 ประตู จากการลงสนาม 12 นัด ในลีก
ต่อให้จะเล่นลีกรอง แต่ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือใหญ่ "สิงโตคำราม" เรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ นัดเจอกับ โครเอเชีย และ สเปน ไม่รู้ว่าจะได้ลงสนามหรือเปล่า แต่ต้องมาจับตาดูกันว่าเจ้าหนูรายนี้จะไปได้ไกลขนาดไหน
4. แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
เชลซี ยอมปล่อย แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ มาให้กับ ลิเวอร์พูล ได้ในราคาถูกแสนถูก เพียงแค่ 12 ล้านปอนด์ เมื่อต้นปี 2013 เพราะนักเตะอยากเป็นตัวจริงและไม่สบอารมณ์เท่าไหร่กับการถูกจับไปยืนตำแหน่งปีก ในความไม่คาดหวัง ดาวยิงจอมเซิ้ง กลับทำให้สาวก “สิงห์บลูส์” เกิดเสียดายขึ้นมาในพริบตา
เมื่อ สเตอร์ริดจ์ กลายมาเป็นดาวซัลโวที่เฉียบคมให้กับ “หงส์แดง” ทันที โดยจับคู่กับ หลุยส์ ซัวเรซ พร้อมฉายาสนั่นโลกว่า “SAS” ซึ่งซีซั่น 2013-14 เขากดไปถึง 21 ตุง มากที่สุดในชีวิตค้าแข้ง เฉียดพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองเป็นสมัยแรก
แต่ทว่าด้วยความโชคร้าย สเตอร์ริดจ์ กลับโดนโรคเดี้ยงตามเล่นงานอยู่ตลอด จากฟอร์มระดับเทพ กลายเป็นฟอร์มสากไปเลย ถึงขั้นที่ช่วงที่โดน ลิเวอร์พูล ปล่อยตัวไปให้กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ยืมตัว ลงสนามแค่ 3 นาทีก็เจ็บได้ เหมือนว่าชีวิตค้าแข้งของเขาอยู่ในช่วงตกต่ำแล้ว แต่พอได้กลับมาอยู่กับ "หงส์แดง" และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ความเชื่อมั่น เจ้าตัวก็เหมือนได้เรียกฟอร์มเดิมๆกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นตัวสำรองก็ตาม
3. โรเมลู ลูกากู
โรเมลู ลูกากู คือนักเตะที่ เชลซี วางเอาไว้เพื่อเป็นตัวแทน ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ตำนานหัวหอกของทีม เพราะมีร่างกายกำยำบวกกับความคล่องแคล่วและการจบสกอร์อันเฉียบคม แต่ทว่าหัวหอกทีมชาติเบลเยี่ยม ไม่สามารถเอาชนะใจเฮดโค้ช “สิงห์บลูส์” ได้เลย สมัยที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน ทั้งๆที่ขอออกไปพิสูจน์ฝีเท้ากับทั้ง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และ เอฟเวอร์ตัน ด้วยการซัด 15 ประตูขึ้นไป ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สุดท้ายยอมถอดใจเลือกย้ายไปอยู่กับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” แบบถาวร และกลายเป็นหัวหอกตัวหลักทันที เพียงแต่ทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ ไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการคว้าแชมป์ได้ จึงอพยพมาล่าตาข่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ถึงแม้ฟอร์มจะไม่คงเส้นคงวามากเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ลูกากู นับเป็นหัวหอกเบอร์ 1 ของ "ปีศาจแดง" ตอนนี้ ในช่วงที่ฟอร์มการเล่นของใครหลายๆคนตกลงไป อย่างน้อยๆซีซั่นนี้ก็กดไปแล้ว 4 ตุง
2. เควิน เดอ บรอยน์
หากมีเครื่อง “ไทม์ แมชชีน” ย้อนเวลากลับไปได้ เชื่อว่า เชลซี จะไม่มีทางยินยอมปล่อยตัว เควิน เดอ บรอยน์ ให้พ้นจากอ้อมอกตัวเองอย่างแน่นอน แต่ด้วยความที่ “เคดีบี” ยังขาดประสบการณ์ในลีกชั้นนำ และเป็นเพียงแค่ดาวรุ่ง ทำให้ “สิงห์บลูส์” ไม่สามารถตอบโจทย์นักเตะในการส่งลงสนาม
สุดท้าย เดอ บรอยน์ ขอตัดสินใจย้ายออกไปอยู่กับ โวล์ฟสบวร์ก หลังเคยมีประสบการณ์ไปเล่นแบบยืมตัวให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน นับตั้งแต่นั้นเจ้าตัวเริ่มสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการพา “หมาป่าเบียร์” ต่อกรกับ บาเยิร์น มิวนิค พร้อมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล
ด้วยความที่กำลังพีคสุดขีด เดอ บรอยน์ ได้มาเป็นสมาชิกใหม่ของ แมนฯ ซิตี้ พร้อมสถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ทีมฟอร์มร้อนแรงมากที่สุด มีทักษะการจ่ายบอลที่แม่นยำ ถึงได้เป็นเจ้าพ่อแอสซิสต์ซีซั่นก่อน
พร้อมมีทีเด็ดจากลูกยิงอันทรงพลัง จึงไม่แปลกที่ เดอ บรอยน์ มีส่วนช่วยให้ “เรือใบสีฟ้า” ซิวดับเบิ้ลแชมป์ (คาราวบาว คัพ และ พรีเมียร์ลีก) เมื่อซีซั่นก่อน โดยฤดูกาลนี้รอเพียงแค่หายเจ็บกลับมา ก็จะเป็นตัวอันตรายให้กับ แมนฯ ซิตี้ ได้เหมือนเดิม
1. โมฮาเหม็ด ซาลาห์
เชลซี ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ทั้งๆที่พวกเขาสามารถปาดหน้า ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญาคว้าตัว ซาลาห์ จาก เอฟซี บาเซิ่ล มาร่วมทีมได้ก่อนแล้วในฤดูกาล 2013-14 แต่ทว่าเส้นทางของนักเตะเลือด “มัมมี่” ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เขาได้ลงสนามให้กับ “สิงห์บลูส์” ในเกมลีก ไปเพียงแค่ 13 นัด ยิงได้ 2 ประตู ตลอด 2 ซีซั่น จึงขอเลือกเก็บข้าวของไปอยู่ที่ อิตาลี แบบยืมตัวกับ ฟิออเรนติน่า และ ปักหลัก อาแอส โรม่า จนสามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมา
ทำให้ ลิเวอร์พูล ยอมทุ่มเงิน 39 ล้านปอนด์ เป็นสถิติสโมสรขณะนั้น และตำนานบทใหม่ก็เริ่มขึ้น เมื่อ ซาลาห์ โด่งดังเป็นพลุแตก คว้าดาวซัลโวของ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นก่อน ด้วยการถือครองสถิติ 32 ตุง แต่เพียงผู้เดียว พร้อมคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยม พีเอฟเอ อีกทั้งช่วยให้ "หงส์แดง" เข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพียงแต่ได้เป็นแค่พระรอง ส่วนซีซั่นนี้จะติดนิดนึง ก็คือยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้
