ได้กุนซือใหม่เสียทีสำหรับทีมชาติไทย รุ่นยู 23 หลังจากสูญญากาศไปนานตั้งแต่จบเอเชี่ยนเกมส์ และคนที่เข้ามาคุมบังเหียนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ "อเล็กซานเดร กาม่า" โค้ชผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการบอลไทย
12 แชมป์ กับสองสโมสรในเมืองไทย ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา คงเป็นคำตอบที่ดีว่า "กาม่า" เหมาะสมกับทีมชาติไทยหรือไม่
กุนซือแซมบ้า เปรียบเสมือนเป็นความหวังคนใหม่ของแฟนบอลชาวไทยที่อยากเห็นช้างศึกชุดเล็กประสบความสำเร็จ หรือมีผลงานที่ดีในระดับนานาชาติบ้าง
อย่างไรก็ตามก่อนที่ "กาม่า" จะได้เซ็นสัญญาและเปิดตัวคุมทีมชาติไทย ยู23 อย่างเป็นทางการ ทีมงาน
"ขอบสนามบอลไทย" ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับกุนซือจอมแท็คติกรายนี้ ถึงเหตุผลและเบื้องลึกเบื้องหลังต่างๆ ที่ทำให้เขาตัดสินใจมารับงานคุมทีมช้างศึกในครั้งนี้
เรามีโอกาสได้พบและพูดคัยกันแบบสบายๆ ที่ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ ซอยสุขุมวิท 39 ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักแห่งใหม่ของเขาในเมืองหลวงของประเทศไทย (บอกเลยว่ารถติดมาก ไม่จำเป็นอย่าได้เข้าไปเชียวซอยนี้)
เรานั่งคุยบนโต๊ะอาหารแบบสบายๆ มีทีมงานของ
"ขอบสนามบอลไทย" และพี่ๆ จาก "คม ชัด ลึก" อีกสำนักที่ได้มาสัมภาษณ์ร่วมกันในครั้งนี้
คุณประสบความสำเร็จมากมายกับเชียงราย แต่ทำไมไม่ได้ต่อสัญญาละ?
"ผมผิดหวังกับเรื่องนี้มาก ก่อนหน้านี้ผมรอให้ทางสโมสรเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องสัญญาใหม่ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อสักที จนผมเองต้องเป็นฝ่ายติดต่อไปแต่ก็โดนเลื่อนนัดมาตลอด ซึ่งผมเองก็อยากได้ความชัดเจนเพราะตอนนั้นก็มีทั้งทีมชาติต่างๆ และสโมสรต่างประเทศ ยื่นข้อเสนอเข้ามาให้ผมเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบ จนกระทั่งใกล้หมดสัญญาผมก็เข้าใจว่าคงไม่ได้ทำงานต่อแล้วที่นั่น"
มีข่าวว่าคุณเป็นคนแนะนำ บอร์จีส ให้ทีมเชียงราย?
"เป็นคำถามที่ดีมาก จริงๆ ผมอยากจะพูดเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รู้พร้อมกัน ว่าผมกับ เออ ใครนะครับ โทษที โค้ชคนนั้นชื่ออะไรนะ
(โชเซ่ อัลเวส บอร์จีส ครับ) ทีมงานตอบ ใช่นั่นแหละ ผมอยากจะบอกว่าผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย โอเคเรารู้ว่าเขาเป็นคนบราซิล เจอกันก็ทักทาย แต่เราไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ผมรู้ว่าเขาเป็นโค้ชฟุตบอล แต่นอกนั้นผมไม่รู้จักเขาเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะแนะนำเรื่องนี้กับสโมสรเก่าของผม"
คุณบอกว่ามีหลายทีมยื่นข้อเสนอมาทั้งสโมสรและทีมชาติ ทำไมถึงเลือกทีมชาติไทย ชุดยู23?
"อย่างที่บอกว่าเมื่อผมไม่ได้ทำงานต่อที่เชียงรายแล้ว ก็มีข้อเสนอเข้ามาจากทางสมาคมฯ ซึ่งในอาชีพโค้ชฟุตบอลการได้คุมทีมชาติมันคือที่สุดของการเป็นโค้ชแล้ว และยิ่งเป็นทีมชาติไทย แม้จะเป็นชุด ยู23 แต่มันก็ยากที่จะปฏิเสธ เพราะผมเองทำงานที่นี่มาหลายปี ผมรู้จักนักฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี ผมมีข้อมูลนักเตะเหล่านี้อยู่แล้ว เมื่อมีการติดต่อเข้ามาผมจึงไม่ลังเล และอีกอย่างแฟนบอลไทยก็ให้การตอบรับและสนับสนุนผมเป็นอย่างดี และผมก็อยากจะเข้ามาช่วยพัฒนานักเตะชุดนี้ให้ดีกว่าเดิม"
คุณรู้สึกยังไงกับงานใหม่นี้?
"ผมมีความสุขมาก และภูมิใจมากด้วยที่จะได้รับใช้ทีมชาติไทยครั้งนี้"
มีสตาฟฟ์โค้ชจากเชียงรายมาทำงานที่ทีมชาติด้วยไหม?
"ผมนำผู้ช่วยของผมมาด้วย 2 คน คือ เซซาร์ ที่จะมาเป็นผู้ช่วยโค้ช และมาร์ซิโอ โค้ชฟิตเนส นอกนั้นทางสมาคมฯ จะจัดสตาฟฟ์โค้ชมาให้ ซึ่งผมเองก็จะขอดูผลงานก่อนว่าถ้าทำงานด้วยกันได้ก็โอเค ถ้าไม่เวิร์คอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสตาฟฟ์โค้ชภายหลัง"
ที่ผ่านมานักเตะชุดนี้มักมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์นอกสนามโดยเฉพาะในโซเชี่ยล คุณจะมีวิธีจัดการกับมันอย่างไรบ้าง?
"เออ!! ผมก็พอจะรู้ปัญหาเรื่องนี้อยู่บ้าง ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะรับมือ เป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการจัดการภายในทีม ซึ่งคงจะต้องมาปรับความเข้าใจด้วยกันใหม่ทั้งหมด ผมคิดว่ามันไม่น่ามีปัญหา เพราะนักเตะชุดนี้ก็จะเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ของ ยู23 ด้วย ก็คงคุยกันไม่ยาก"
เราจะได้เห็นอะไรใหม่ในทีมชาติไทยของ โค้ชกาม่า
"การทำทีมฟุตบอลของผมสิ่งที่ผมยึดถือมาตลอดคือ
"ทำฟุตบอลต้อง ชนะ" โดยหัวใจของการทำทีมฟุตบอลให้ชนะก็คือจะต้องทำให้นักเตะมีความเชื่อมั่นในตัวโค้ช และเชื่อมั่นว่าเราชนะได้ นั่นแหละคือทีมชาติไทยที่คุณจะได้เห็น"
สไตล์ที่คุณจะใช้กับทีมชาติไทย จะเป็นบอลบุก หรือบอลรับ?
การทำทีมฟุตบอลของผมไม่ได้มีแท็คติกตายตัวอะไร ผมบอกไม่ได้ว่าเราจะเล่น 4-4-2,4-3-3 หรือ 3-5-2 แต่ผมจะปรับเปลี่ยนแท็คติกไปตามสถานการณ์ตามคู่แข่งที่ต้องเจอ คือเราต้องศึกษาวิธีการเล่นของคู่แข่งว่าเขาเล่นอย่างไร และเราจะเอาอะไรไปสู้กับเขามากกว่าที่จะซ้อมแท็กติกของเราไปโดยที่ไม่สนใจคู่แข่งเลย ซึ่งฟุตบอลของผมทั้ง 11 คนในสนามจะต้องทำงานร่วมกัน เล่นตามแท็คติกเดียวกัน
ตอนที่ผมทำทีมไม่ว่าจะบุรีรัมย์ หรือเชียงราย หรือก่อนหน้านี้ ในแต่ละเกมผมจะต้องศึกษาคู่ต่อสู้โดยนำเทปการแข่งขันไม่ต่ำว่า 5 เกมหลังสุดมาศึกษาเพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องเล่นกับเขาแบบไหน ดังนั้นฟุตบอลของผมคือมันจะเปลี่ยนไปตามคู่ต่อสู้ที่เราต้องเจอมากกว่า"
คุณคิดว่าอะไรสำคัญที่สุดในการทำทีมฟุตบอล?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้นักเตะเชื่อมั่นในตัวของโค้ช ต่อมาคือเรื่องสภาพจิตใจ และสภาพร่างกายต้องพร้อมในวันแข่งขัน เราต้องทำให้เขามีความพร้อมมากที่สุด"
คุณเคยทำทีมชาติอย่างเกาหลีใต้มาแล้ว คิดว่าการทำทีมสโมสรกับทีมชาติมันต่างกันมากไหม?
"มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำสโมสรง่ายกว่าเพราะเราได้เจอนักบอลทุกวัน เรารู้ว่าแต่ละคนเป็นยังไง ใครมีปัญหาอะไร และซ้อมด้วยกันอยู่ตลอด ส่วนทีมชาตินานๆ เราจะได้มาเจอกันที และนักเตะต่างคนก็ต่างมากันจากสโมสร ฝึกซ้อมก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งมันยากที่จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันทำให้ทุกคนเข้าใจแท็คติกต่างๆ ในการมาฝึกซ้อม"
ปัญหาของทีมชาติไทยทุกชุดคือกองหน้า คุณคิดยังไงกับกองหน้าของยู 23 ตอนนี้?
"ใช่ มันเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ซึ่งจริงๆ ผมทำงานกับสโมสรมาผมเห็นว่าเรามีนักเตะเยาวชนดีๆ หลายคน โดยเฉพาะกองหน้า แต่พวกเขาไม่ได้รับโอกาส อย่างในลีกทุกทีมก็ใช้ต่างชาติหมด ผมเองก็ใช้ ดังนั้นเราต้องหาวิธีทำให้นักเตะเหล่านี้ได้มีโอกาสมากขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องหารือกันอย่างจริงจัง"
ที่บราซิลคุณรู้ไหม เขามีลีกให้นักเตะเยาวชนตั้งแต่อายุเท่าไหร่
(ไม่รู้ครับ) มีตั้งแต่ลีก 12 ปี 14 ปี 16 ปี จนไปชุดใหญ่ มันทำให้บราซิลจึงมีนักเตะให้เลือกใช้อย่างมาก และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดด้วยของนักฟุตบอล แต่กับประเทศไทย เรามีบอลยูธลีกก็จริง มีบอลให้เด็กเตะก็จริง แต่พวกเขาเล่นกันกี่แมตช์ เตะกันกี่เดือน ที่บราซิลเด็กพวกนี้เล่นบอลกันเป็นปี"
เอาละย้อนกลับมาที่การทำทีมชาติ ทัวร์นาเมนต์แรกของคุณคืออะไร?
"เป็นทัวร์นาเมนต์พิเศษที่ประเทศจีน มีแข่งกัน 4 ทีม จีน,ไทย,เม็กซิโก และไอซ์แลนด์ จะเตะกันวันที่ 15,17,19 พ.ย.นี้ 3 แมตช์ด้วยกัน" จากนั้นปีหน้าเดือน ก.พ. เราจะมีชิงแชมป์อาเซียน ที่กัมพูชา ต่อด้วยเดือน มี.ค. ก็ลงเตะชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ซึ่งเราเป็นเจ้าภาพรอบสุดท้ายแต่ก็ลงเตะรอบคัดเลือกด้วย และปิดท้ายที่ซีเกมส์ปลายปี"
คุณคาดหวังอะไรกับทัวร์นาเมนต์ที่จีน เพราะเป็นรายการแรก?
"ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย มันเป็นรายการแรก และผมก็มีเวลาเตรียมตัวไม่กี่วัน แต่เราก็คงจะพยายามทำให้ดีที่สุด หลังจบทัวร์นาเม้นท์นี้เราก็จะกลับมามุ่งมั่นสำหรับรายการใหญ่ที่รออยู่อย่างชิงแชมป์อาเซียน และรอบคัดเลือกชิงแชมป์เอเชียต่อไป"
คุณมีอะไรอยากจะบอกแฟนบอลไทยไหม?
"ขอบคุณแฟนบอลไทยทุกคนที่สนับสนุนผม ผมสัญญาว่าจะทำงานอย่างเต็มที่กับทีมชาติไทยชุดนี้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวผม และให้กำลังใจทีมชาติไทยกันต่อไปครับ"
สุดท้ายอยากจะถามคุณว่าเตรียมใจกับการมาใช้ชีวิตในกรุงเทพหรือยัง มันไม่เหมือนกับที่บุรีรัมย์ และเชียงรายนะ?
"ผมรู้ ผมรู้ดีเรื่องนี้ ขนาดแค่ผมมาคุยกับคุณวันนี้ผมนั่งรถเป็นชั่วโมงเลย ทั้งๆ ที่ผมอยู่แค่ใกล้ๆ นี่เอง ตอนผมอยู่บุรีรัมย์ กับ เชียงราย จากสนามกลับมาบ้านแค่ 5 นาที ไปกลับ 10 นาที แต่ที่กรุงเทพฯ คงเป็นชั่วโมงแน่ๆ ซึ่งก็คงต้องปรับตัว แต่ผมก็เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาแล้วที่บราซิล มันไม่ต่างอะไรกันเลย
แต่ก็ดีอย่างที่ผมจะได้อยู่กับครอบครัว เพราะตอนอยู่บุรีรัมย์ ผมนำครอบครัวมาอยู่ด้วยไม่ได้เพราะที่นั่นไม่มีโรงเรียนนานชาติ ส่วนตอนมาอยู่เชียงราย ครอบครัวก็ไปๆ มาๆ แต่มาอยู่กรุงเทพฯ เราคงจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว มันก็น่าจะมีความสุข"
โอเค ขอบคุณมากที่คุณสละเวลาให้กับเรา เราดีใจมากที่ได้คุณมาเป็นโค้ช และได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคุณ
"ผมก็ยินดีเช่นกัน และอยากจะคุยกับพวกคุณอยู่แล้ว ขอบคุณครับ" กาม่า กล่าวปิดท้าย การสนทนา