logo-heading

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี่ มหาเศรษฐีเจ้าของสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ต้องการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สุดๆ โดยยอมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนับตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์ทัพ "เปแอสเช" เมื่อปลายปี 2011 เพื่อจะทำให้ฝันของเขาเป็นจริง

ผ่านมา 7 ปี ความฝันของเขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ เพราะ ปารีส เริ่มจะต่อสู้กับคู่แข่งระดับอ๋องของเวทียุโรปได้แล้ว ทว่ามันก็ยังติดๆ ขัดๆ อะไรบางอย่างนู่นนี่ ที่ทำให้ไปไม่ถึงดวงดาวสักที เฉกเช่นเดียวกับปีนี้ที่พลาดท่าโดน เรอัล มาดริด เปิดบ้านสอยไปก่อนในเลกแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3-1 ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพวกเขาเล่นดีกว่าด้วยซ้ำ เปแสเช พบ เรอัล มาดริด หากใครจำกันได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ปารีส ก็ฝ่าด่านเข้ามาได้ถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะซวยจับได้กระดูกก้อนโตอย่าง บาร์เซโลน่า ทว่าในเลกแรกพวกเขาก็สร้างเซอร์ไพร้ส์ด้วยการเปิดบ้านอัดตูด บาร์ซ่า จมกองขี้ 4-0 พูลสวัสดิ์ ใครๆ ต่างก็คิดว่าแย่แน่นอน "เจ้าบุญทุ่ม" แทบหมดโอกาสที่จะพลิกกลับมาได้ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น กลับมาเล่นที่คัมป์นู ผ่านไป 50 นาทีแรก เจ้าถิ่นนำห่าง 3-0 รวมผล 2 นัด ไล่มา 4-3 ขออีกแค่ประตูเดียวก็จะยื้อถึงต่อเวลาได้ แต่ เอดิสัน คาวานี่ ก็มายิงตีตื้นให้ ปารีส เป็น 3-1 พร้อมกับได้อเวย์โกลด้วย ในนาทีที่ 62 โจทย์ของ "เปแอสเช" ตอนนั้นคือทำยังไงก็ได้ให้อย่าโดนยิง 3 ลูกภายในเวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลือ ซึ่งพวกเขาก็ยันได้จนถึงนาทีที่ 88 เนย์มาร์ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ บาร์ซ่า ซัดหนีห่างเป็น 4-1 แต่ยังต้องการอีก 2 ประตูใน 2 นาที นาที 89 บาร์เซโลน่า มาได้จุดโทษ และเป็น เนย์มาร์ ตัวแสบคนเดิมสังหารเข้าไป นำห่าง 5-1 สกอร์รวม 5-5 แต่ บาร์ซ่า จะตกรอบด้วยกฏประตูทีมเยือน ยกเว้นว่าไอ 1 นาทีที่เหลือจะทำประตูได้ และก็ทำได้จริงๆ ปารีส เสียกระบวน จิตใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัว บวกกับเสียงเชียร์อันดังกระหึ่มของแฟนบอลเจ้าถิ่น ยิ่งทำให้บรรยากาศดูขลัง ดูกดดันไปหมด และแล้วก็โดนทีเด็ดของ แซร์จี้ โรแบร์โต้ ซัดเข้าไปในนาทีสุดท้าย เขี่ยทีมของ อัล-เคไลฟี่ ตกรอบไปแบบน่าเจ็บใจ ว่ากันว่าการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เป็นฟางเส้นสุดท้ายของ อัล-เคไลฟี่ ที่ทำให้เขาเลือดขึ้นหน้า กว้านซื้อแข้งดีๆ ด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเช่น เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ เป็นต้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจ ลีกเอิง หรือ บอลถ้วยในประเทศเลย เพราะมันเป็นข้อบังคับอยู่แล้วว่า "มึงต้องได้!" การทุ่มเงินซื้อ 2 กองหน้าด้วยค่าตัวรวม 400 ล้านยูโร นี่มันบ้าชัดๆ ถ้าไม่หวังแชมป์ยุโรป ก็ขายทีมทิ้งเถอะ ประวัติศาสตร์ที่ (อาจจะ) ซ้ำรอยของ ปารีส แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้จะแย่เข้าไปใหญ่ นอกจากนัดแรกจะพ่ายมาก่อน 3-1 โยนความได้เปรียบให้ฝั่ง "ราชันชุดขาว" แชมป์เก่า 2 สมัย ไป ไอ้นักเตะตัวความหวังระดับซูเปอร์สตาร์ดาวล้านดวงอย่าง เนย์มาร์ ก็ดันมาดวงแตกเจ็บผิดเวลาซะอีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ ปารีส จะมีดีพอเปิดบ้านเอาชนะ มาดริด หรือป่าว แล้วถ้าชนะ จะชนะถึงสกอร์ที่เพียงพอต่อการเข้ารอบหรือไม่ ขอแค่ 2-0 ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสนะ ผมว่าคู่นี้ยัง 60-40 อยู่เลย มีโอกาสพลิกได้ ท้ายสุดอย่างนึงที่ผมกล้าการันตีเลยก็คือหาก ปารีส ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ คนที่รับไปเต็มๆ คงต้องเป็น อูไน เอเมอรี่ กุนซือเตรียมหางานใหม่ได้เลย อัล-เคไลฟี่ ไม่เอาไว้แน่ ไม่ยิงทิ้งด้วยก็บุญแล้ว มีตังค์ให้ผลาญขนาดนี้ยังจอดป้ายแค่รอบ 16 ทีม ขนาดกุนซือคนเก่าอย่าง โลร็องต์ บล็องก์ ฤดูกาลสุดท้ายก่อนโดนปลด พาทีมคว้า 3 แชมป์ในประเทศ ส่วนใน "บิ๊กเอียร์" ไปได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยังโดนเด้งเลย ประวัติศาสตร์ที่ (อาจจะ) ซ้ำรอยของ ปารีส

คืนนี้ตี 02.45 น. เฝ้ารอดูหน้าจอกันครับ ส่วนอีกคู่นึง ลิเวอร์พูล ต่อให้ลงเล่น 8 คนยังไม่ตกรอบเล๊ย!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline