logo-heading

นักเตะ “ช้างศึก” ร่วงตกรอบฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” มาหลายวันแล้ว แต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ยังแรงไม่หยุด เพราะนี่คือผลงานที่ “ล้มเหลว” ของทีมชาติไทย

กีฬามีแพ้ ชนะ ก็จริง แต่ถ้าทีมชาติไทยล้มเหลวในเกมระดับ “อาเซียน” ทีไร “เรื่องใหญ่” ทุกที ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ผลงานของนักเตะไทยจะเป็นประเด็นให้พูดคุยกันไปอีกนาน สำหรับผลงานการจอดป้ายแค่รอบรองชนะเลิศ หมดสิทธิ์เข้าไปลุ้นแชมป์สมัยที่ 6 และทำสถิติแชมป์ 3 สมัยติดในทัวนาเมนต์นี้เป็นครั้งแรก ยังไงก็ต้องยอมรับว่า “น่าผิดหวัง” แต่ฟุตบอลไทยจะเอาไงต่อหลังจากนี้เป็นเรื่องที่ “มองต่างมุม” หลายคนยังให้กำลังใจบอกว่าสู้ต่อไป แต่อีกหลายคนเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ประเด็นนี้อยู่ที่มุมมองแต่ละคน คนเราคิดไม่เหมือนกันได้อยู่แล้ว ความคิดเห็นต่างๆ ตามโลกโซเชียลและสื่อต่างๆ มีทั้งที่สร้างสรรค์และเอาแค่สะใจ แต่ดูแล้วตัวละครหลักที่ถูกพูดกันจะมีแค่ 3 คน เริ่มตั้งแต่ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือทีมชาติไทยที่ทำผลงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายพา “รถบัส ไทยแลนด์” คว่ำก่อนไปถึงตำแหน่งแชมป์ !!! กระทบชิ่งไปถึง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ต้องรับชะตากรรมจากวาทกรรมของตัวเองที่เคยพูดเอาไว้ว่า “ใครไม่อาย ผมอาย” ขณะที่อดีตโค้ชทีมชาติไทย “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะผลงานสมัยคุมทีมเคยได้แชมป์รายการนี้มา 2 สมัยติด จนใครหลายคนบอกว่า “คิดถึง” ทั้ง 3 คนถูกโยงถึงกัน แฟนบอลหลายคนอยากให้มีการ ปลด “ราเยวัช” ไล่ “บิ๊กอ๊อด” เอา “ซิโก้” กลับมา แต่แฟนบอลอีกฝั่งมองค้านและยังอยากให้ “ราเยวัช” ทำต่อ “บิ๊กอ๊อด” อยู่ต่อ “ซิโก้” ไม่ต้องกลับมา เรื่องนี้ว่ากันไปตามมุมมองแต่ละคน แต่ในความเป็นจริงคือยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่มีการปลด ไม่มีการลาออก และไม่มีการคัมแบ็ก จริงๆแล้ว สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ออกข่าวมาตั้งแต่ก่อนเตะ “ซูซูกิคัพ” แล้วว่าจะประเมินผลงานของ “ราเยวัช” หลังจบ “เอเชี่ยนคัพ 2019” ว่าได้ไปต่อหรือไม่ ดังนั้นการจะปลด “ราเยวัช” ตอนนี้คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แม้ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ​จะเคย “พูดแล้วทำไม่ได้” เมื่อตอนปลด “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ หลังจบเอเชี่ยนเกมส์ก็ตาม !!! กรณีนี้มองได้หลายมุมอีก บ้างก็ว่า “บอลแพ้เปลี่ยนโค้ช” คงไม่ใช่วิธีการที่ดี เท่ากับว่าต้องไปเริ่มนับ 1 ใหม่หมด แต่บ้างก็ว่า “ถ้าเปลี่ยนแล้วดีก็ควรทำ” เอาเป็นว่ายังไงแล้วถึงตอนนี้ “ราเยวัช” ยังจะได้คุมทีมต่อไปใน “เอเชี่ยนคัพ” ด้วยเป้าหมายต้องผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น ถามว่าแล้วความหวังของทีมชาติไทยจะมีมากแค่ไหน เพราะระดับอาเซียนยังไม่รอด แล้วไประดับเอเชียจะไหวได้อย่างไร ตรงนี้หลายคนพยายาม “มองบวก” เพราะคิดกันว่า “ราเยวัช” เตรียมการสำหรับ “เอเชี่ยนคัพ” มาตลอดด้วยสไตล์การเล่นแบบ “รถบัส ไทยแลนด์” อีกทั้งใน “เอเชี่ยนคัพ” จะได้ตัวหลักๆที่กลับจากค้าแข้งต่างประเทศมาร่วมทีมอีก 4 ราย ดังนั้นศักยภาพของทีมต้องแตกต่างไปจากตอน “ซูซูกิคัพ” แน่นอน สถานการณ์ที่แตกต่างไปทั้งตัวผู้เล่นไทยและคู่แข่งขันในระดับเอเชียจึงพูดลำบากว่าไทยจะไปรอดหรือไม่ใน “เอเชี่ยนคัพ” ทุกอย่างต้องรอวัดกันที่สนาม ที่แน่ๆหากผลงานไม่ตามเป้าหมาย “ราเยวัช” คงต้องไป ไม่สำคัญว่าจะเล่นรุกหรือรับ แต่อยู่ที่ “ผลลัพธ์” ตรงผลการแข่งขัน หากผิดจากรอบ 2 คือล้มเหลวและ “ไม่ควรไปต่อ” ส่วนกรณีของนายกสมาคมฯที่ถูกไล่หลังตกรอบ “ซูซูกิคัพ” ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร รวมถึง “เอเชี่ยนคัพ” ก็ไม่น่ามีผลต่ออนาคตของ “บิ๊กอ๊อด” ที่คงจะอยู่ครบเทอมในปี 2020 การบริหารพัฒนาฟุตบอลไทยคงไม่ได้วัดผลตรงที่ยอดปลายทีมชาติไทยอย่างเดียว ไม่งั้นคงเปลี่ยนนายกฯหลายคนแล้ว ตั้งแต่ตกรอบแรก “ซีเกมส์” และพลาดแชมป์ “ซูซูกิคัพ” 5 สมัยติด ที่สำคัญถ้าความล้มเหลวมันเกิดจาก “การจัดการ” แบบที่ว่า “แพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม” คือเจอสารพัดปัญหาเรื่องการเตรียมทีม ตรงนี้ผู้บริหารถึงต้องรับไปเต็มๆแบบปฏิเสธไม่ได้ ลองตัด “อคติ” ออกไปแล้วพิจารณาดูว่าปัจจุบันฟุตบอลไทยมีปัญหาเรื่องการจัดการทีมชาติไทยอีกหรือเปล่า “ซูซูกิคัพ” ครั้งนี้การเตรียมทีมถือว่าดี ลีกขยับเวลาปิดเร็วขึ้นให้ทีมชาติมีเวลาซ้อมเยอะๆ โค้ชอยากจะได้อะไรแบบไหนก็จัดการให้ แต่ผลงานไม่ตามเป้ามันเป็นเรื่องของเกมในสนาม แต่แน่นอนละว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องรับผิดชอบแบบปฏิเสธไม่ได้เช่นกันตรงที่ “เลือกโค้ช” มาทำทีม เอ่ยถึงตรงนี้จึงไม่แปลกที่หลายคนคิดถึง “ซิโก้” เพราะทำทีมประสบความสำเร็จมากมาย ถือเป็น “โค้ชคนไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์” แต่การที่จะให้ “ซิโก้” คัมแบ็กกลับมาทำงานร่วมกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ยุคนี้ ในตอนนี้หรือภายในเร็วๆนี้คงยาก ต้องยอมรับว่าการจากลากันตอนนั้น “จบไม่สวย” มันไม่ใช่แค่เรื่องผลงานในสนาม แต่มีเรื่องปวดหัวนอกสนามมากมายที่ทำให้ “ซิโก้” ต้องแยกจากทีมชาติไทยเมื่อวันวาน ปัจจุบัน “ซิโก้” มีธุรกิจที่ต้องดูแลมากมาย การรับงานทำทีมอีกครั้งก็อาจไม่เหมือนเดิม สมัยที่เข้าไปทำทีม “การท่าเรือ” ในช่วงเวลาสั้นๆเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว รวมถึงนักเตะทีมชาติไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เด็กๆยุค “ซิโก้” เริ่มโรยรา หายไป เวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีย้อนกลับหลัง แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคต “ซิโก้” จะต้องกลับมาสู่วงการฟุตบอลไทยอีกครั้งแน่นอน ไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้ ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลของมัน เชียร์ฟุตบอลไทยตรงที่คำว่า “ทีมชาติไทย” แล้วต้องรู้จักคำว่า “สปีริต” ชนะได้ ต้องแพ้เป็น...สวัสดี  

                                                                       “บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline