ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เด่น ๆ เกิดขึ้นมากมาย กับวงการลูกหนัง ที่มีทั้งสุข เศร้า และน่าตื่นตาตื่นใจ วันนี้ขอบสนามจะรวมทั้งหมดให้ทุกท่านได้ไปดูกันว่าปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เด่น ๆ อะไรเกิดขึ้นมาบ้าง
1. ตลาดนักเตะปีใหม่สุดคึกคักเป็นประวัติการณ์
ปกติแล้วตลาดนักเตะเดือนมกราคม มักจะไม่ค่อยมีดีลการย้ายทีมที่น่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับช่วงซัมเมอร์แต่ว่าในตลาดนักเตะเดือนมกราคมของปี 2018 กับมี ซูเปอร์ดีล เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล ทุบสถิติโลกในตำแหน่งกองกลังคว้าตัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน , ฟิลิเป้ คูตินโญ่ ย้ายจาก ลิเวอร์พูล ไป บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวมากกว่า 140 ล้านยูโร หรือจะเป็น ดีลสลับขั้วระหว่าง อเล็กซิส ซานเชซ กับ เฮนริค มคิทาร์ยาน ที่ย้ายกันไปมาระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล
ซึ่งเมื่อดูจากการย้ายทีมเมื่อปีที่แล้ว มันก็ทำให้เราสามารถคาดหวังได้เลยว่าในตลาดนักเตะของเดือน มกราคม ปี 2019 มันก็มีโอกาสที่เราจะได้เห็นอะไรแบบนี้อีก
2. การอำลา อาร์เซน่อล ของ เวนเกอร์
มันเป็นสิ่งที่หลายคนคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสักวันมันต้องเกิด แต่พอเกิดขึ้นมันก็ไม่คุ้นอยู่ดี แม้ว่าคนที่สนับสนุนเขา หรือแฟนบอล อาร์เซน่อล บางส่วนที่ต่อต้าน เวนเกอร์ และ มองว่าเขาควรไปเสียที ซึ่งสุดท้ายบมันก็เกิดขึ้น เมื่อ เวนเกอร์ ประกาศยุติบทบาทนายใหญ่ของ “ไอ้ปืนใหญ่” เอาไว้ที่เกือบ 22 ปี พร้อมกับพิธีอำลาอย่างยิ่งใหญ่ที่สโมสรจัดให้เขาอย่างสมเกียรตืผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร รวมถึงการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก แบบไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003-04 ซึ่งไม่ว่าตอนหลังผลงานของ อาร์เซน่อล จะไม่เป็นอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่ว่าจากสิ่งที่เขาสร้างมาทั้งหมด มันก็ทำให้เขาเป็นตำนานกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ของ ศึกพรีเมียร์ ลีก แบบไร้ข้อโต้แย้ง
3. การขึ้นมาของ คิง ซาลาห์
ถ้าหากว่าเราจะหานักเตะที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุดในปฏิทินลูกหนังปีที่ผ่านมาก็คงจะหนีไม่พ้น โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ดาวเตะชาวอียิปต์ของสโมสร ลิเวอร์พูล ที่ไม่มีใครคิดว่าจะมากลายมาเป็นโคตรบอลได้แบบที่เราเห็นในทุกวันนี้
ซาลาห์ ย้ายจาก โรม่า มาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มระดับโลก ทุบสถิติเป็นว่าเล่น กวาดทุกรางวัลที่มีอยู่ในลีกอังกฤษ ทั่้งนักเตะยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ , สมาคมผู้สื่อข่าว รวมทั้งคว้าดาวซัลโวของลีกมาครองด้วยการยิง 32 ประตู ยิงรวมทุกรายการ 44 ประตู และแม้ว่าจะเข้าฤดูกาลใหม่ ฟอร์มของเขาก็ยังคงยอดเยี่ยมเป็นนักเตะระดับท็อปของลีก และกำลังพา ลิเวอร์พูล มีโอกาสดีที่จะสัมผัสกับแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ในซีซั่นนี้
4. แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัยซ้อนของ เรอัล มาดริด และ การลาออกของ ซีดาน
นับตั้งแต่ปี 1990 ไม่เคยมีทีมไหนสามารถคว้าแชมป์รายการถ้วยใบใหญ่ของยุโรป รายการ ยูโรเปียน คัพ หรือชื่อปัจจุบันคือศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เลยจนกระทั่งการเข้ามาคุมทีม เรอัล มาดริด ของ ซีเนอดีน ซีดาน ที่สามารถทำมันได้สำเร็จ แต่ว่าไม่ใช่แค่ป้องกันแชมป์แบบสองปีซ้อน แต่เป็นสามปีซ้อนเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ทีม “ราชันชุดขาว” เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ 3-1 ในเกมนัดชิงที่กรุงเคียฟ ส่งผลให้พวกเขาเป็นทีมแรกในรอบ 42 ปี นับตั้งแต่ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อปี 1976 ที่ได้แชมป์ รายการนี้สามปีติด
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประกาศศักดาความเป็นจ้าวยุโรปไม่กี่วัน พวกเขาก็ต้องเจอกับข่าวช็อกเมื่อ ซีเนอดีน ซีดาน กุนซือคนเก่งของพวกเขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง แบบไม่มีใครคาดคิด ซึ่งมีไม่บ่อยนักที่กุนซือของทีม “ราชันชุดขาว” จะชิงประกาศลาออกก่อนแบบนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่จะโดนสั่งปลดก่อนซะมากกว่า และนั่นก็ทำให้ ซีดาน เป็นโค้ชอีกคนที่อยู่คุมทีม เรอัล มาดริด ไม่ถึง 3 ปี โดยคนสุดท้ายที่อยู่คุมทีมอย่างน้อย 4 ต้องย้อนกลับไปถึง มิเกล มูนยอซ ในช่วงยุค 70 เลยทีเดียว
5. สถิติ 100 คะแนน ของ แมนฯซิตี้
พรีเมียร์ ลีก นั้นเชื่อว่าเป็นลีกที่ว่ากันว่าโหดและหินที่สุด การกวาดแต้มแบบเวอร์ ๆ แทบไม่มีให้เห็น แต่ว่าในซีซั่นที่ผ่านมาก็ต้องยกให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ทุบทุกสถิติ กลายเป็นทีมไร้เทียมทานประจำศึก พรีเมียร์ ลีก ในซีซั่นที่ผ่านมา
พวกเขาคว้าแชมป์ได้เร็วที่สุด ทำสถิติชนะมากที่สุด , ชนะรวดมากที่สุด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ฟาดไป 100 คะแนนเต็ม ทำลายสถิติเดิมที่ เชลซี เคยเก็บไว้ 95 คะแนนแบบราบคาบ และได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของศึก พรีเมียร์ ลีก เลยทีเดียว แม้ว่าจะน่าเสียดายเล็กน้อยท่ีไม่สามารถคว้าแชมป์แบบไร้พ่ายได้ก็ตาม แต่แค่นี้ก็คือว่าโคตรสุดแล้วล่ะครับ
6. ฟุตบอลโลกที่มันส์สัสรัสเซีย
แม้ว่ากระแสฟุตบอลโลกในบ้านเรามันจะค่อนข้างเงียบแต่บอกเลยว่า ฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่ประเทศรัสเซีย ถูกยกให้เป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องคุณภาพเกมการแข่งขัน เรื่องราวดราม่าต่าง ๆ มากมาย ทั้ง เยอรมัน ตกรอบแรก , เกมญี่ปุ่นฝันสลายโดน เบลเยี่ยม แซงช่วงทดเจ็บ , การคืนชีพของทีมชาติอังกฤษที่เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ และ ม้ามืดอย่าง โครเอเชีย ที่เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก
แต่ว่าสุดท้ายทีมที่ขโมยซีนที่สุดก็คือทีมชาติฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทัพของ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ที่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ด้วยสภาพทีมที่แกร่งทั่วแผ่น ทั้งเกมรุกและเกมรับ ด้วยนักเตะระดับท็อป ไล่ตั้งแต่ ราฟาเอล วาราน , อองตวน กรีซมันน์ ,คิเลียน เอ็มบัปเป้ , เอ็นโกโล ก็องแต้ และ ปอล ป๊อกบา ที่ส่งทีม “ตราไก่” คว้าแชมป์โลกสมัยที่สองมาครองได้สำเร็จ
7. การย้ายทีมของ CR7
หนึ่งในดีลที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นทั้งนักข่าวและแฟนบอลอย่างเรา ๆ ก็คือการย้ายทีมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพราะว่านี่คือนักเตะคนสำคัญของ เรอัล มาดริด ตลอดเกือบทศวรรษที่ผ่านมา ที่ยิงประตูเป็นว่าเล่นจนเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสร พาทีมคว้าแชมป์มากมาย และก็น่าจะอยู่กับสโมสรไปอีกหลายปี
แต่ว่าสุดท้ายการย้ายทีมมันก็เกิดขึ้น โดยในซัมเมอร์ที่ผ่านมา โรนัลโด้ ก็ประกาศช็อกโลกด้วยการย้ายไปร่วมทัพ ยูเวนตุส มหาอำนาจลูกหนังแห่งศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร ซึ่งถือได้ว่าเป็นค่าตัวที่ เวอร์มากสำหรับนักเตะวัย 33 แบบเขา เรียกได้ว่า ดีลนี้ วินวิน กันทุกฝ่าย ทั้ง เรอัล มาดริด ที่ใช้งานโรนัลโด้ แบบคุ้มแสนคุ้มตลอดที่ร่วมงานกัน , โรนัลโด้ ก็ประสบความสำเร็จมากมายในยูนิฟอร์มของ ราชันชุดขาว ส่วน ยูเว่ ก็ได้เครื่องจักรถล่มประตูเข้าสู่ทีมเป็นการเสริมแกร่งให้กับทีมให้โหดยิ่งขึ้น
8. บัลลง ดอร์ ของ โมดริช
หลังจากที่รางวัล บัลลง ดอร์ เป็นเรื่องของสองเราระหว่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ มา 10 ปี ในที่สุดรางวัลนี้ก็เปลี่ยนมือเสียที เมื่อ ลูก้า โมดริช จอมทัพชาวโครแอต ของ เรอัล มาดริด คว้ารางวัลนี้ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และคู่ควรด้วยประการทั้งปวง หลังจากที่มีปีทองฝังเพชรที่สุดในอาชีพของตัวเอง
เขาช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สามปีซ้อน แต่ว่าที่เด็ดที่สุดคงหนีไม่พ้นศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศ รัสเซีย ที่ โมดริช แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในการพาชาติเล็ก ๆ อย่าง โครเอเชีย เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว โครเอเชีย จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน ด้วยการพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ในนัดชิงชนะเลิศ แต่มันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้เขาได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ ตามด้วยนักเตะยอดเยี่ยมของ ยูฟ่า , นักเตะยอดเยี่ยม ฟีฟ่า เดอะ เบสต์ ก่อนจะปิดฉากปีทองด้วยรางวัล บัลลง ดอร์
9. น้ามูโดนปลด
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปกติแล้วธรรมเนียมปฏิบัติของสโมสรนั้นจะไม่ปลดโค้ชคนไหนกลางซีซั่นหากว่าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่างก่อนหน้านี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็คุมมากว่า 26 ปี ส่วน เดวิด มอยส์ แม้ว่าจะโดนปลดก็คือตอนที่หมดลุ้นทุกอย่างแล้ว แต่ว่าคราวนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็โดนจนได้ หลังจากที่ทำผลงานน่าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จนแฟนแทบเอาตีนก่ายหน้าผาก และฟางเส้นสุดท้ายก็คือตอนที่เขาทำทีมแพ้ ลิเวอร์พูล แบบสู้ไม่ได้ ด้วยการพ่ายไป 3-1 โดยโดนทีม “หงส์แดง” ส่องไปถึง 36 ครั้ง ซึ่งเป็นอะไรที่เกินกว่าแฟนบอลและฝ่ายบริหารของทีมจะรับได้
และหลังจากจบศึกแดงเดือดแค่สองวัน น้ามู ก็โดนปลดทันที โดยคนที่เข้ามารับหน้าที่แทนเขาก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เด็กเก่าของสโมสร ที่พอเปลี่ยนโค้ชปุ๊ป ทีมก็ผลงานดีปั๊ป โดยตอนนี้ โซลชา พาทีมเก็บชัยชนะมาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน
10. คนลูกหนังทั่วโลกไว้อาลัยคุณวิชัยผู้จากไป
นี่คือข่าวที่น่าสลดที่สุดประจำปีนี้ เมื่อคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ แห่งศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ประสบอุบัติเหตุ เฮลิคอปเตอร์ ตก และก่อนจะมีแถลงการณ์ของสโมสรว่าได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุที่ไฟลุก สร้างความโศกเศร้าให้กับ ชาวไทย และ แฟน ๆ เลสเตอร์ เป็นอย่างยิ่ง กับการที่ท่านประธานผู้พา เลสเตอร์ สร้างตำนานคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก มาครองได้แบบพลิกความคาดหมายเมื่อปี 2016 และกลายเป็นทีมที่มีเส่นห์ที่สุดทีมหนึ่งของ พรีเมียร์ ลีก
ภาพที่ทั่วโลกต่างไว้อาลัยให้กับ คุณวิชัย นั้นเป็นสิ่งที่น่าประทับใจ และเป็นเครื่องยืนยันว่า คนลูกหนังทั่วโลกต่างยอมรับในความยิ่งใหญ่ของคุณวิชัย ขนาดไหน และตอนนี้แม้ว่าตัวจะจากไปแล้ว แต่ว่า เจตนารมณ์ของคุณวิชัย ก็มีคนที่มารับช่วงต่อก็คือลูกชายสุดที่รัก คุณต๊อบ อัยยวัฒร์ ศรีวัฒนประภา ซึ่งทางขอบสนามก็ขอแสดงความเสียใจกับ ครอบครัว ศรีวัฒนประภา และเป็นกำลังใจกับการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ด้วยนะครับ









