logo-heading

ความมันส์แห่งศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ใกล้จะระเบิดขึ้นแล้ว ในคืนวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ นี้

แน่นอนว่าคู่ที่จะพลาดไปไม่ได้เลย นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมเปิดถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

ก่อนหน้านี้ ใครๆก็บอกว่า "ปีศาจแดง" เตรียมจอดป้ายรอตกรอบได้เลย นับตั้งแต่วันจับฉลากมาเจอ "เปแอสเช" ทว่า จากวันนั้น ถึง วันนี้ อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และนี่คือ 5 ประเด็นสำคัญ ที่มันทำให้เกมคู่นี้โคตรสูสีมากยิ่งขึ้น

  1. แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนกุนซือ แล้ว
ในช่วงตอนจับสลาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงมีกุนซือเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชา จนกระทั่งพ่ายแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล ในศึก "แดงเดือด" 1-3 และถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบไม่ใยดี และ จากนั้นบอร์ดบริหารก็เลือกไปแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับเผือกร้อน แต่ก็ได้พา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาเล่นในแบบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ควรจะเป็นอีกครั้ง สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น ชนิดที่รอเวลาได้สัญญาคุมทีมแบบถาวรเท่านั้น ขณะที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังคงเลือกใช้ โทมัส ทูเคิ่ล เป็นเฮดโค้ชใหญ่เช่นเดิม เพราะในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส รอเวลาคว้าแชมป์แบบชิลล์ๆ
  1. ตัวผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาฟิตสมบูรณ์ สวนทางกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
ย้อนกลับไปในช่วงที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงกุมบังเหียนโดย โชเซ่ มูรินโญ่ เขาเคยมาโอดครวญผ่านสื่อบ่อยๆ เวลาพ่ายแพ้ต่อคู่แข่ง นั่นก็คือเรื่องของอาการบาดเจ็บ เพราะในช่วงเดือนธันวาคม นักเตะ "ปีศาจแดง" ที่ต้องเจอกับปัญหาเดี้ยง ร่ายยาวเป็นหางว่าว ประกอบด้วย "คริส สมอลลิ่ง, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน, อองโตนี่ มาร์กซิยาล ,ดิโอโก้ ดาโลท์ และ มาร์กอส โรโฮ" อย่างไรก็ตาม หลังจากนาฬิกาเดินผ่านมาราวๆ 2 เดือนเต็ม แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนโฉมจากทีมพิการ กลับมาแข็งแกร่งดั่งเหมือนกันผักขมของ "ป็อบอาย" นักเตะหลายๆคน คัมแบ็กเป็นตัวจริง และ โชว์ผลงานได้อย่างสุดติ่ง กระดิ่งแมว โดยเฉพาะ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มลากเลื้อยโซโล่ครึ่งสนาม มาซัดใส่ ฟูแล่ม ผิดกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ซึ่งที่จริงแล้วได้รักษาความสดมากกว่า "ปีศาจแดง" เสียอีก เพราะมีช่วงพักเบรกหนีหนาว ตั้งแต่ 23 ธ.ค. 2018 - 06 ม.ค. 2019 ถึงกระนั้น วงการฟุตบอล มันคือการใช้ร่างกายเข้าแลก และ บางครั้งก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บไปได้ สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า "เปแอสเช" ต่างหาก ที่จะไม่มีนักเตะตัวหลัก หลายๆคน ก่อนเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์, เอดินสัน คาวานี่, โธมัส มูนิเยร์ และ อาจรวมไปถึง มาร์โก แวร์รัตติ ที่ต้องรอเช็คความฟิต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ อาจส่งผลต่อการเข้ารอบของ ปารีส เลยก็ว่าได้
  1. ปารีส แพ้เป็นแล้วในเกมลีก
นับตั้งแต่วันที่จับสลากแบ่งผลการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังสะกดคำว่าพ่ายแพ้ไม่เป็น บนเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส เพราะแทบไม่มีทีมไหนมาต่อกรได้เลย ยิ่งเป็น โมนาโก ที่เคยเบียดแย่งแชมป์มาจากอ้อมอก ก็กำลังดิ้นรนหนีตาย ไม่ได้มาเป็นขวากหนามทิ่มแทงหัวใจอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ ปารีส จะมีคิวเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงแค่ 10 วัน พรหมจรรย์ ที่ "เปแอสเช" ได้รักษาเอาไว้ในเกมลีก ก็ถูกทำลายลง ด้วยน้ำมือของ โอลิมปิก ลียง หลังบุกพ่ายไป 1-2 ซึ่งเกมวันนั้น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ ไมค์ ฟีแลนด์ มือขวา เข้าไปนั่งดูเกมที่สนามด้วย ซึ่ง เอ็มบัปเป้ ยอมรับว่า มีส่วนทำให้พ่ายแพ้ในครั้งนี้ และ ในขณะที่ เปแอสเช พ่ายแพ้ในเกมลีก นั้น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้ทำผลงานแบบโคตรโหด กระโดดยิง เพราะนับตั้งแต่เข้ามารับงานแทน มูรินโญ่ น้าลูกอม ไม่เคยพา "ปีศาจแดง" พ่ายแพ้สักเกมเดียวทุกรายการ รวมแล้วทั้งสิ้นก็ 11 นัด เข้าไปแล้ว
  1. โซลชา พา แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นท็อปโฟร์ครั้งแรก
ตอนที่ มูรินโญ่ คุมทีมอยู่ เขาได้แต่พร่ำบอกว่า "ปาฏิหาริย์" เท่านั้น ที่จะพา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาติดท็อปโฟร์ ในซีซั่นนี้ แต่พอเปลี่ยนโค้ช ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะ 9 นัดบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โซลชา นำสโมสรเก็บชัยชนะไปถึง 8 นัด พาตัวเองจากอันดับ 6 ที่ดูไร้ความหวัง กลับมาแซงหน้า อาร์เซน่อล และ เชลซี ขึ้นไปรั้งที่ 4 แบบภาคภูมิ ชนิดที่แข่งเท่ากันหมดที่ 26 นัด นั่นหมายความว่า โซลชา ไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์ แบบที่ มูรินโญ่ เคยกล่าวเอาไว้ เขาเพียงแค่เข้ามาขัดเกลาให้ทุกอย่างของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันดียิ่งขึ้น
  1. ฟอร์มของนักเตะทั้ง 2 ทีม
ในตอนที่ ป็อกบา ทำงานกับ มูรินโญ่ เขาต้องนั่งทำหน้าหงอยเหงาอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามบ่อยครั้ง ด้วยปัญหาที่อาจแตกคอกัน แต่กระนั้นชีวิตของเขา ก็กลับมาเป็นคนเดิม เมื่อ โซลชา เข้ามารับงาน เพราะในขณะนี้  ป็อกบา เล่นกดไป 8 ประตู พร้อมทำอีก 6 แอสซิสต์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นเวิลด์คลาส เช่นเดียวกับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ก็ซัดประตูเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ ปารีส ก็ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ 3 ประสานแดนหน้าของพวกเขา ยังคงยอดเยี่ยม ไม่เปลี่ยนแปลง เอาจริงๆหากนับตอนเริ่ม ค.ศ 2019 ผ่านมา 4 นัด คาวานี่ ซัดไป 5 ตุง, เอ็มบัปเป้ 3 ประตู และ เนย์มาร์ อีก 2 ลูก ซึ่งเป็นำจำนวนที่เยอะใช้ได้ แต่ทว่าก่อนเกมเริ่ม จะเหลือแค่ เอ็มบัปเป้ เท่านั้น ที่เป็นหน่วยทำประตู ต้องรอดูว่าเมื่อเหลือแค่เขาคนเดียวจะสร้างอะไรขึ้นมาได้หรือไม่
  1. โมเมนตั้ม โอกาสการผ่านเข้ารอบ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทันทีที่ทราบผลการจับสลาก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องโคจรมาพบกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง .. เสียงแซ่ซ่องบนโลกโซเชียล เน็ตเวิร์ค แทบจะมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า "ปีศาจแดง มึงตายแน่" เพราะตอนนั้น โชเซ่ มูรินโญ่ ทำผลงานออกทะเลไปไกล เสมอทีมนั้น ทีมนี้ บุกไปแพ้ บาเลนเซีย ก็มี แถมยังมีโปรแกรม 5 แมตช์ หฤโหด ในช่วงเวลาดังกล่าวรออยู่ แทบไม่มีใครจะมองถึงมุมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสเข้ารอบ และ จะผ่าน ปารีส ไปได้ เนื่องจากตอนนั้น "เปแอสเช" มีขุมกำลังที่สมบูรณ์แบบ นำโดย 3 เพชรฆาตกองหน้า อย่าง เอ็มบัปเป้ เนย์มาร์ และ คาวานี่ อย่างไรก็ตาม จากที่ได้กล่าวหลายๆข้อ ต้องบอกเลยว่า โมเมนตั้มของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้แม่งมาจริงๆพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความพร้อมของนักเตะ, ฟอร์มการเล่น และ ที่สำคัญการยังไร้พ่าย ภายใต้การคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เชื่อเหลือเกินว่าคนที่เคยมีความคิดว่า "เปแอสเช" จะผ่านเข้ารอบแบบใสๆ อาจมีเปลี่ยนความคิดใหม่ๆ เพราะโมเมนตั้ม ณ ตอนนั้น กับ ณ ตอนนี้ มันคนละเรื่อง บอกเลยว่าชั่วโมงนี้ "ปีศาจแดง" พร้อมใส่เดี่ยวกับทุกทีม พร้อมตะโกนดังๆว่า "ก็มาดิครับ" -ฮาย ฮาวดี้-
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline