นับถอยหลังอีกเพียง 2 วัน ไม่รวมวันนี้ศึกฟุตบอลถ้วยระดับทีมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียก็จะเปิดฉากฟาดแข้งกันแล้ว กับศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 46 ทัวร์นาเมนท์ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง และ มนต์เสน่ห์มากมายในอดีตถึงปัจจุบัน ครั้งนี้ได้กฤษ์เตะกัน 22-25 มี.ค.นี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานเหมือนเดิม
ผมคงไม่ต่อความยาวสาวความยืดถึงจุดกำเนิดฟุตบอลถ้วยพระราชทานใบนี้ซ้ำนะครับ เพราะมีการพูดถึงไปแล้วในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ ถ้าอยากอ่านซ้ำตามไปที่ลิงค์นี้เลยครับ
มาในศึกคิงส์ คัพ ครั้งนี้ อย่างที่ทราบกันดีมี 4 ทีม ร่วมโม่แข้ง ประกอบด้วย ทีมชาติไทย แชมป์เก่า 2 สมัยล่าสุด,สโลวาเกีย อดีตแชมป์หนึ่งสมัย,กาบอง ทีมจากกาฬทวีป และ ยูเออี ทีมดังจากคาบสมุทรอาหรับ นัดแรกไทยพบ กาบอง ส่วน สโลวาเกีย จะพบ ยูเออี วันที่ 22 มี.ค.นี้ ผู้ชนะก็ไปชิงแชมป์กัน 25 มี.ค.ต่อไป
เรื่องของคิงส์ คัพ ครั้งนี้ก็คงต้องรอติดตามกันว่าท้ายที่สุดจะจบแบบไหน ทีมชาติไทยจะป้องกันแชมป์ หรือจะเสียแชมป์ให้กับผู้มาเยือนจากทั้งสามชาติ
วันนี้เราย้อนกลับไปดูประวัติศาตร์ความทรงจำต่างๆ ที่น่าประทับใจในศึกคิงส์ คัพ จริงๆ มีเยอะมาก แต่เท่าที่ผมพอจะนึกออก และได้สัมผัสกับยุคหลังๆ คัดมาที่ผมประทับใจ 5 เรื่องด้วยกัน มีเหตุการณ์ไหนบ้างไปดูกันก
ไทยได้แชมป์ครั้งแรก
ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ถูกจัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2511 หรือ ค.ศ.1968 แล้วก็จัดเรียงเรื่อยมาทุกปี แต่ใน 8 ครั้งแรกนั้นทีมที่ได้แชมป์คือชาติอื่นหมดเลย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่กวาดแชมป์ไปถึง 6 ครั้งจาก 8 ส่วนอีกสองทีมคือ อินโดนิเซีย และ มาเลเซีย ที่ได้ไปทีมละครั้ง ส่วนทีมชาติไทยของเราที่เป็นเจ้าภาพ ส่วนใหญ่หนักไปทางรองแชมป์ 4 ครั้ง และที่ 3 อีกสามครั้ง ส่วนอีกครั้งนั้นตกรอบ
จนมาถึงปี พ.ศ.2519 หรือปี 1976 (บางที่ลงตัวเลขคลาดเคลื่อนแต่นี่คือที่ถูกต้อง) เป็นครั้งแรกที่มีแชมป์ร่วมกันและทีมธงไตรงรงค์ของเราก็เป็นแชมป์ร่วมกับ "เสือเหลือง" มาเลเซีย ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศเสมอกัน 1-1
แต่การคว้าแชมป์เดี่ยวครั้งแรกของทีมชาติไทยเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2522 หรือ 1979 ไม่ใช่ 2524 ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนกัน ปีแรกที่ไทยได้แชมป์ฟุตบอลคิงส์ คัพ เดี่ยวๆ ครั้งแรกคือคิงส์ คัพ ครั้งที่ 12 ปี 2522 โดยครั้งนั้นเอาชนะเกาหลีใต้ ชุดบี 1-0 นักเตะดังๆ ชุดนั้นมีหลายคน อย่าง สมชาย ชวยบุญชุม,วรวรรณ ชิตะวณิช,พิชัย คงศรี,อำนาจ เฉลิมชวลิต,วิสูตร วิชายา,นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ และ เชิดศักดิ์ ชัยบุตร หลายคนก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการฟุตบอลปัจจุบันนี้
คิงส์ คัพ สนามแตก
ในฟุตบอลคิงส์ คัพ ถ้าพูดถึงแมตช์แห่งความทรงจำหรือมีเรื่องที่ต้องพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นแมตช์สนามแตก ในปี พ.ศ.2536 หรือ 1993 คิงส์ คัพ ครั้งที่ 24 ในยุคที่มีกองหน้าที่ชื่อ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน จริงๆ ผมยังไม่รู้ประสีประสาอะไรหรอกครั้งตอนนั้น เพิ่งจะ 7-8 ขวบ แต่ก็พอจำได้คลับคล้ายครับคลาว่าดูถ่ายทอดสดอยู่เหมือนกัน เเพราะทุกครั้งที่ดูคลิปสนามแตกนี้ก็จะจำขึ้นมาได้
มันเกมในรอบรองชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติไทยชุดเอ พบกับ เกาหลีใต้ ที่สนามศุภชลาศัย ไม่รู้ว่าผู้คนมาจากไหน มืดฟ้ามัวดิน ทุกอย่างมันมืดไปหมด คนเต็มอัฒจันทร์จนที่นั่งไม่พอต้องลงมาอยู่ติดขอบสนาม แบบขอบจริงๆ ล้นเกยเข้ามาพื้นสนามด้วยซ้ำ จนทีมชาติเกาหลีใต้ เกือบจะไม่ขอแข่งด้วยซ้ำ นี่ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ยังถูกพูดถึงมาทุกวันนี้
โดยผลการแข่งขันทีมชาติไทยเฉือนชนะไป 1-0 จากลูกยิงของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน แล้วไม่ต้องบอกนะครับ ว่า พี่ตุ๊ก ยิงได้ บรรยากาศในสนามที่แฟนบอลล้นเข้ามานั้นจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายไทยเข้าชิง แต่ก็ไปแพ้จีน 4-0 ได้แค่รองแชมป์ โดยนักเตะชุดนั้นนอกจาก เดอะตุ๊กแล้วก็ยังมี อรรถพล บุษปาคม,ไพโรจน์ พ่วงจันทร์,วิลาศ น้อมเจริญ,อภิชาติ ทวีเฉลิมดิษฐ์ และ นที ทองสุขแก้ว ประมาณนี้
https://www.youtube.com/watch?time_continue=62&v=Fb6g60tq6H0
แซมบ้ามาเยือน
อีกหนึ่งความทรงจำในฟุตบอลคิงส์ คัพ พอพูดถึงเมื่อไหร่ก็ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นคือการที่ทีมดังระดับโลกอย่างบราซิล ชุดใหญ่ มาร่วมเตะในฟุตบอลคิงส์ คัพ ในปี พ.ศ. 2543 หรือ 2000 ซึ่งจริงๆ ครั้งนั้น บราซิล ยู17 คือทีมหลักที่มาแข่งขัน แต่ทางฝ่ายจัดก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการนำผู้เล่นทีมชุดใหญ่มาลงเตะกับทีมชาติไทยเฉพาะแมตช์เดียว ซึ่งนักเตะดังๆ ที่มาก็อย่าง คาฟู,ริวัลโด้,ดีด้า,คาร์ลอส,เอลแบร์ ,จูนินโญ่ รวมทั้ง "เหยินน้อย" โรนันดินโญ่ ที่ตอนนั้นเป็นดาวรุ่งวัยเพียงแค่ 20 ปี
ซึ่งบราซิล ก็ยำทีมชาติไทยไป 7-0 แม้จะแพ้แบบเละเทะแต่นั่นก็เป็นความประทับใจครั้งนึงของศึกฟุตบอลคิงส์ คัพ ที่มีนักเตะระดับโลกมาร่วมแข่งขันและโชว์ฝีเท้า ซึ่งพอจบแมตช์นั้น ก็เป็นบราซิล ยู17 ที่ลงแข่งขันต่อจนจบทัวร์นาเม้นท์ โดยแชมป์ปีนั้นตกเป็นของทีมชาติไทย ที่ชนะ ฟินแลนด์ ในรอบชิงฯ 5-1 ส่วนบราซิล ยู17 ได้อันดับ 3
คิงส์ คัพ นอกเมืองหลวง
ฟุตบอลคิงส์ คัพ ในตลอด 50 ปีมานี้ กว่า 45 ครั้ง ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้นที่ถูกนำไปจัดตามภูธร หรือต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ ครั้งแรกก็คือในปี พ.ศ.2548 หรือ 2005 คิงส์ คัพ ครั้งที่ 36 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คิงส์คัพ ไปจัดต่างจังหวัดและไปกันที่ภาคใต้ ที่จังหวัดพังงา และ ภูเก็ต เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547
ครั้งนั้นทีมชาติไทย คุมทัพโดย ปีเตอร์ รีด กุนซือชาวอังกฤษ มีนักเตะอย่าง สุเชาว์ นุชนุ่ม,อาทิตย์ สุนทรพิธ,สุธี สุขสมกิจ,ดัสกร ทองเหลา,สุรีย์ สุขะ,ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์,ลีซอ และอีกหลายๆ คน ถ้าไล่คงไม่หมด แต่ปีนั้นทีมชาติไทยได้ที่ 3 และเป็นลัตเวีย เป็นแชมป์
ส่วนอีก 3 ครั้งที่คิงส์ คัพ ออกไปจัดต่างจังหวัดคือ คิงส์ คัพ ครั้งที่ 40 ปี พ.ศ.2553 หรือ 2010 ไปจัดกันที่สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา นัดชิงเดนมาร์ก ชนะไทยไป 3-0 โดยทีมชาติไทยชุดนั้นมี ไบรอัน ร็อบสัน เป็นเฮดโค้ช
ต่อมาคือ คิงส์ คัพ ครั้งที่ 42 ปี พ.ศ.2556 หรือ 2013 ไปจัดที่สนามสมโภช 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ตอนนั้นโค้ชคือ วินฟรีด เชเฟอร์ โดยเป็นทีมชาติสวีเดน ที่คว้าแชมป์
และอีกครั้งคือ คิงส์ คัพ ครั้งที่ 43 ปี 2558 หรือ 2015 กลับไปจัดที่โคราช อีกครั้ง เพราะครั้งก่อนนั้นได้รับเสียงตอยรับดีมาก ครั้งนี้ทีมชาติไทยคุมทัพโดย "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โดยทีมชาติไทยได้แค่รองแชมป์
https://www.youtube.com/watch?v=TSlPL_86bGE
ได้เวลาทวงแชมป์
เรื่องสุดท้ายคือการกลับมาคว้าแชมป์คิงส์ คัพ อย่างยิ่งใหญ่ของทีมชาติไทย ในรอบกว่า 9 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้แชมป์ครั้งสุดท้ายของไทย คือปี พ.ศ.2550 หรือ 2007 จากนั้นก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ ได้อีกเลย
จนกระทั่งมาถึงคิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 ปี พ.ศ.2559 หรือ 2016 ทีมชาติไทยก็กลับมาคว้าแชมป์สมัยที่ 14 จนได้ ด้วยการเอาชนะจอร์แดน 2-0 และในครั้งนั้นทีมชาติไทยได้นำชุดเสื้อย้อนยุคสีแดงสลับขาว ที่มีตรา "พระมหามงกุฎ" ในการฉลองครบรอบ 100 ปี ลูกหนังไทย มาใส่แข่งขันด้วย และในครั้งนั้นเองก็ได้จารึกชื่อของ "ซิโก้" เป็นคนไทยคนเดียว ณ เวลานี้ ที่ได้แชมป์คิงส์ คัพ ทั้งในฐานะนักเตะ และโค้ชทีมชาติไทย
