logo-heading

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 46 จบลงด้วยความสำเร็จของนักเตะ “สโลวัก” ที่บุกมาคว้าแชมป์กลับไปแบบสมราคา “ทีมอันดับ 29 ของโลก”

สำหรับนักเตะแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา “ทีมชาติไทย” แม้จะพลาดการคว้าแชมป์ 3 สมัยติด แต่ความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศต่อ สโลวาเกีย 2-3 ไม่ได้ทำให้แฟนบอลไทยเสียใจแม้แต่น้อย ขุนพล “ช้างศึก” ทำผลงานได้ประทับใจ การที่ทีมอันดับ 129 ของโลกอย่าง “ไทยแลนด์” สามารถต่อกรกับทีมอันดับ 29 โลกของโลกได้ขนาดนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ “ฟีฟ่า แรงกิ้ง” ห่างกันถึง 100 อันดับ แต่นักเตะไทยสู้ได้แบบสนุกและได้ใจ ชนิดที่ว่านักเตะ “สโลวัก” ต้องเบรกผู้เล่นไทยด้วยการดึง ฉุด รวมถึงมีหงุดหงิด หัวร้อน หัวเสีย บทวิพากษ์ “คิงส์คัพ” นี่คืออีกเกมที่ถือว่านักเตะไทยทำผลงานได้ดีมากๆ ต้องชื่นชม “มิโล” มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบียและผู้เล่นทุกคนที่ร่วมใจกันสู้แบบถวายหัว ฟอร์มในนัดชิงชนะเลิศที่น่าประทับใจถือเป็นการแก้ตัวจากฟอร์มนัดแรกที่เสมอ “กาบอง” แบบไร้สกอร์ 0-0 ได้ดีทีเดียว เพราะดูเกมแรกแล้วค่อนข้างขัดใจ ไม่ถูกใจ !!! นัดแรกนักเตะไทยเน้นรับมากเกินไป เข้าใจอยู่ว่าการเจอทีม “เสือดำ” ดีกรีอันดับ 95 ของโลกจากกาฬทวีปนั้นไม่ง่าย เกมรับต้องแน่น แต่มันควรมีทีเด็ดโต้กลับให้เห็นบ้าง แต่จากที่เห็นในเกมแรกทีมไทยไม่มีโอกาสสร้างสรรค์จังหวะโต้กลับที่เป็นทีเด็ดเลย เน้นเคาะบอล เซตบอลเป็นหลัก จังหวะบุกหรือเข้าทำ โต้กลับ แทบไม่ค่อยให้มีได้ลุ้น บทวิพากษ์ “คิงส์คัพ” สไตล์ของ “ราเยวัช” เน้นรับแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว แฟนบอลดูแล้วอึดอัดแน่นอนครับ แต่สำหรับทีมแล้วถือว่านักเตะเล่นอย่างมีวินัยจนทำให้ได้ตามเป้าคือ “ไม่เสียประตู” แต่พอมาถึงเกมนัดชิงชนะเลิศรูปเกมและฟอร์มการเล่นของนักเตะไทยมันต่างออกไป อาจเป็นเพราะเราเสียประตูแรกเร็วเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น สถานการณ์จึงทำให้ต้องบุก สิ่งที่เห็นคือนักเตะไทยเล่นเกมรุกได้นี่หว่า จังหวะเคาะบอลต่อบอลลุยใส่ทำได้ดีทีเดียว จากที่คาดกันไว้ว่าจะเล่นเหมือน “รอโดน” จึงกลายเป็น “พอลุ้นได้” เมื่อเล่นแบบได้ใจ สู้ได้แบบสนุก ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นจึงไม่ค่อยมีเสียงตำหนิหรือด่า แต่กลับกลายเป็นได้รับคำชื่นชมและกำลังใจอย่างมากมายมหาศาล แต่ทั้งนั้นทั้งนี “ราเยวัช” ยังคงมีการบ้านที่ต้องไปทำอีกมากโขละครับเพื่อยกระดับ “ช้างศึก” ให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม สไตล์ของ “ราเยวัช” จากที่คุมทีมชาติไทยผ่านมาหลายนัดแสดงให้เห็นว่าเกมรับทำได้ดี แต่สิ่งที่ต้องพยายามแก้ไขคือเกมบุกที่ต้องมีทีเด็ดและ “วิธีการ” ที่ดีกว่าเดิม รวมถึงรายละเอียดในเรื่องของตัวผู้เล่นที่ควรจะต้องมีควรหลากหลายหรือเปลี่ยนบ้าง เพราะ “คิงส์คัพ” ครั้งนี้ “ราเยวัช” ใช้ผู้เล่นตัวจริงและตัวสำรองแค่ 14 คนเท่านั้น บทวิพากษ์ “คิงส์คัพ” จาก 2 เกมใน “คิงส์คัพ” ผู้เล่น 11 คนแรกไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ส่วนสำรอง 3 คนที่ส่งลูกลงสนามก็เป็นคนเดิมในทั้ง 2 เกม ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับหากว่าตัวที่ใช้อยู่ดีอยู่แล้ว แต่เท่าที่เห็นไม่ใช่อย่างนั้น เอาตรงๆ นักเตะบางคนมีศักยภาพแค่ไหนมันก็ได้แค่นั้น เห็นๆอยู่ว่าไหวหรือไม่ไหว บางทีเห็นตอนจะเปลี่ยนตัวยังมีหลายๆคนบอกเลยว่า “จบแล้ว” ไม่ก็ “หมดลุ้น” เพราะไม่เคยเห็นลงไปแล้วจะสามารถพลิกเกมได้เลย “ราเยวัช” ต้องละเอียดตั้งแต่การเลือกตัวผู้เล่น บางคนได้รับโอกาสมากเกินไป แต่อีกหลายคนควรได้รับโอกาสบ้าง เพราะที่ติดทีมชาติตอนนี้บางคนไม่ใช่ตัวหลักสโมสรด้วยซ้ำ !!! ส่วนฟอร์มของนักเตะไทยใน “คิงส์คัพ” ครั้งนี้บางคนทำได้ดีขึ้น หลายคนเสมอตัว แต่บางคนเคยดีกว่านี้ บทวิพากษ์ “คิงส์คัพ” ที่ต้องบอกว่า “งานดี” มากๆ ยกให้ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ เลยครับ แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมากมาย สิ่งที่เห็นมันบ่งบอกถึง “คลาส” ที่มีระดับมากขึ้น รายของ “โย่ง” พรรษา เหมวิบูลย์ เป็นอีกคนที่ถือว่ายิ่งเล่นยิ่งดี รับก็ได้ รุกก็ดี นี่เป็นอีกคนที่ถือว่า “สอบผ่าน” แบบสบายๆ ส่วนคนอื่นๆ คงแล้วแต่มุมมองครับ อย่างที่บอกหลายคนทำได้ตามมาตรฐาน แต่บางคนยอมรับเองเลยว่าฟอร์มตก ส่วนบางคนนี่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าหาดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว !!! ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่จากนี้ไปนักเตะทุกคนต้องไปมุ่งมั่นทำผลงานกับสโมสรให้ดี และหวังว่า “ราเยวัช” จะพิจารณาผู้เล่นจากฟอร์มล่าสุดในสโมสรเพื่อให้โอกาสในทีมชาติไทย บทวิพากษ์ “คิงส์คัพ” สำหรับภาพรวมของ“คิงส์คัพ” ที่เพิ่งจบไปส่วนตัวแล้วถือว่าโอเคเลยครับ ทีมเชิญเกรดดี บทสรุปแชมป์มีดีกรีอันดับ 29 ของโลก ขณะที่นักเตะไทยได้รองแชมป์แต่เล่นแบบได้ใจ ที่สำคัญยังเป็นการปลุกกระแสฟุตบอลทีมชาติไทยกลับมา “ฟีเวอร์” อีกครั้ง แฟนบอลในสนาม 45,425 คนในนัดชิงชนะเลิศเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา ถือว่า...ประทับใจครับ

“บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline