พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ได้ลั่นกลองรบไปแล้วเรียบร้อย เรียกว่าทีมท็อปซิกซ์ แทบจะเก็บ 3 คะแนนกันได้ทั้งหมด ยกเว้นเพียงแค่ เชลซี ที่แพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น จากผลงานนัดเปิดสนาม ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างทั้งข้อดีและข้อเสียของเหล่าทีมยักษ์ใหญ่
ฉะนั้นมาลองวิเคราะห์กันว่าในฤดูกาลนี้ บรรดาทีมท็อป 6 พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้น มีจุดแข็ง และ จุดอ่อน อย่างไรกันบ้าง
1. แมนเชสเตอร์ ซิตี้
จุดแข็ง : ตัวจริง-ตัวสำรอง ทดแทนกันได้
ให้หลับตา แล้วนึกภาพ คุณจะสามารถเห็นถึงความแข็งแกร่งของ แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้เลย ด้วยสไตล์เกมรุกที่บุกแหลก ในแบบฉบับ "เดินหน้าฆ่ามัน" ยังคงเป็นจุดแข็งที่พร้อมเล่นงานคู่แข่งทุกทีมที่ขวางหน้า พร้อมกับเหล่านักเตะที่สามารถทดแทนกันได้หมดทุกคน
เหมือนอย่างที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีส ได้นิยามไว้ว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ มีทีมลุ้นแชมป์อยู่ 4 ทีม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "เรือใบสีฟ้า" ชุดสอง เพราะทุกคนสามารถแทนกันได้หมดแบบไร้ที่ติ ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู ยัน กองหน้า อีกทั้งยังได้ โรดรี้ มิดฟิลด์ในแบบฉบับที่ เป๊ป ต้องการ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ทีมนี้ บังคงถูกยกย่องเป็นเต็ง 1 แบบไม่ต้องสงสัย
จุดอ่อน : อะไหล่เซ็นเตอร์แบ็ก
ถ้าจะพูดถึงจุดอ่อนของ แมนฯ ซิตี้ แทบจะมองไม่เห็นกันเลยทีเดียว เพราะ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีสไตล์การเล่นที่สมบูรณ์แบบ และ ตัวสำรองก็สามารถทดแทนตัวจริงกันได้หมด แต่ถ้าหากจะให้แหวกมือหาข้อเสีย "เรือใบสีฟ้า" ก็อาจจะเป็นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก เพราะพวกเขาปล่อยตัว แว็งซ็องต์ ก็องปานี อดีตกัปตันทีมออกไป
แต่กระนั้น แมนฯ ซิตี้ กลับไม่ได้นักเตะตัวใหม่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กเข้ามาเสริมทัพ พอจะไปซื้อ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ก็ถูกตั้งค่าหัวเอาไว้แบบแพงหูฉี่ ทำให้ออปชั่นจะเหลือแค่ 3 คน ประกอบด้วย อายเมริค ลาปอร์ต, จอห์น สโตนส์ และ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ซึ่งถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยมีใครเจ็บขึ้นมา ก็อาจจะส่งผลกระทบกับ "เรือใบสีฟ้า" ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะตัวหลักอย่าง ลาปอร์ต
2. ลิเวอร์พูล
จุดแข็ง : ตัวหลักอยู่กันครบทั้งเกมรุก-เกมรับ
ถึงแม้ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้เสริมผู้เล่นตัวหลักมาเลยสักคนเดียว แต่พวกเขาก็ไม่ได้เสียตัวหลักไปเช่นเดียวกัน มันทำให้ "หงส์แดง" ยังเป็นทีมที่น่ากลัวเช่นเดิม เหมือนอย่างแมตช์ที่ไล่อัด นอริช ซิตี้ นัดเปิดซีซั่น ด้วยสกอร์ 4-1 จากนี้ก็รอให้ 3 ประสาน ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลับมาลงสนามแบบพร้อมเพรียงกัน
ส่วนเกมรับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังเป็นคีย์แมนคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล เขาคือปราการภูผาน้ำแข็ง เป็นด่านสุดท้ายที่คอยหยุดคู่แข่ง ก่อนจะถึงผู้รักษาประตู ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยม ทำให้ "หงส์แดง" เสียประตูน้อยสุดในลีกซีซั่นก่อน
อีกทั้งยังคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำซีซั่น ของ พีเอฟเอ มาด้วย ฉะนั้นจุดแข็งของทัพ "หงส์แดง" ก็ต้องยกให้เครดิตกับ "บิ๊กเฟอร์จิล" ไปเต็มๆ ที่มีส่วนพาทีมบินสูงขณะนี้
จุดอ่อน : ความห่างระหว่างตัวจริง-ตัวสำรอง และ ไม่เสริมใคร
อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันไปแล้วในเกม ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะจุดโทษ เชลซี 5-4 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 2-2 นั้น "หงส์แดง" มีจุดอ่อนให้เห็นเต็มไปหมด แต่ 1 จุดที่เห็นได้ชัดเจน หากนำไปเปรียบเทียบกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งพวกเขาจะต้องลุ้นเบียดแย่งแชมป์ พรีเมีร์ลีก อังกฤษ กัน ก็คงต้องบอกว่าเป็นตัวสำรอง ที่ยังห่างจากตัวจริง
อาทิ การนำ โจ โกเมซ ไปยืนแบ็กขวา แทนที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เรียกว่าสอบตก หรือ การดรอป โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ แล้วส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ลงสนาม พร้อมโยกกับ ซาดิโอ มาเน่ ไปเล่นเป็นตัวเป้า เป็นอะไรที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากัน
การที่ ลิเวอร์พูล ไม่เสริมใครมาร่วมทีม มันย่อมมีผลเสียตามมาอยู่แล้ว อยู่ที่ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะสามารถปรุงแต่งตัวสำรองขึ้นมาอย่างไร ให้มันดูมีผลงานเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกับตัวจริงมากที่สุด ยิ่งถ้ามีตัวเจ็บมา บอกเลยงานเข้า
3. เชลซี
จุดแข็ง : ก็องเต้ ตัวเดียว เสียวทั้งลีก
เอาจริงๆฤดูกาลนี้ หาจุดแข็งของ เชลซี ยากมาก เพราะด้วยการโดนแบนเสริมใครไม่ได้ บวกกับผลงาน 2 นัดที่ผ่านมา ซึ่งพ่ายแพ้ทั้งหมด แต่กระนั้นหากสอดส่องให้ดี จะเห็นว่า ปัจจัยสำคัญของทัพ "สิงห์บลูส์" ภายใต้การคุมทีม แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่จะทำให้ทีมโลดแล่นนั้น ขึ้นอยู่กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้
แมตช์ที่ เชลซี พ่ายจุดโทษต่อ ลิเวอร์พูล ในศึก ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ต้องบอกว่า ก็องเต้ คนเดียว เอาแผงมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ทั้งหมดแบบอยู่หมัด เล่นได้อย่างเนียนตา วิ่งพล่านไปทั้งสนาม
น่าเสียดายเกมที่แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ก็องเต้ มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง กว่าจะลงสนามมาก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้นฤดูกาลนี้ เชลซี ต้องประคบประหงม ก็องเต้ ให้ดี เพราะเขาอาจจะเป็นคนกำหนดผลการแข่งขันของทีมไว้ได้เลย
จุดอ่อน : ซื้อใครไม่ได้
งานเข้ามาเนิ่นนานแล้ว สำหรับ เชลซี ในเวอร์ชั่น 2019-20 เพราะพวกเขาถูกสั่งแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะหน้าใหม่ เป็นเวลาตลาด 2 รอบถัดไป ที่แย่ไปกว่านั้นคือ "สิงห์บลูส์" ต้องเสียสตาร์เบอร์ 1 ของทีมอย่าง เอแด็น อาซาร์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด ต่อให้จะมี คริสเตียน พูลิซิช ที่ซื้อไว้ล่วงหน้าเข้ามา แต่แฟนบอลก็มองว่ายังทดแทนกันไม่ได้
และ การซื้อใครไม่ได้นั้น มันก็กลายเป็นจุดด้อยให้กับ "สิงห์บลูส์" เพราะพวกเขาก็ต้องแบกน้ำหนักพวกดาวรุ่ง ดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ควบคู่ไปกับตัวเก๋าๆ ซึ่งมันก็กลายเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะการเล่นให้กับ เชลซี เป็นอะไรที่กดดัน
อีกหนึ่งจุดอ่อนที่ส่งผลต่อ เชลซี ก็คือเรื่องเกมรับ เนื่องจากพวกเขามีออปชั่นไม่เยอะมากนัก อีกทั้งยังปล่อย ดาวิด ลุยซ์ ไปให้กับ อาร์เซน่อล การเสีย 6 ประตู จาก 2 นัด เป็นอะไรที่ดูไม่สวยเอาเสียเลย
4. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
จุดแข็ง : ขุมกำลังได้ลุ้นแชมป์ทุกปี
ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ บ่มเพาะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ให้ก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในทุกๆซีซั่น โดยเฉพาะบรรดาตัวรุก ที่เล่นกันได้อย่างเข้ามา พร้อมยิงประตูกันแหลกลาญทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ เคน, ซน ฮึง-มิน และ ลูคัส มูร่า อีกทั้งมีตัวซัพพอร์ทอย่าง เดเล่ อัลลี หรือ คริสเตียน อีริคเซ่น ต่อให้จะมีข่าวเรื่องย้ายทีม
ที่พิเศษกว่านั้น ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทุ่มเงินซื้อนักเตะเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม อย่างเช่น โจวานนี่ โล เซลโซ่ หรือ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ แน่นอนว่ามันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ "ไก่เดือยทอง" อีกหลายขุม โดยเกมที่ "สเปอร์ส" รัวกลับมาแซงเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 3-1 ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ก็ฉายแสงทำประตูแรกให้กับทีมได้แล้วเรียบร้อย
จุดอ่อน : แผ่วปลาย
ต่อให้ สเปอร์ส จะก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ลีกได้อยู่ตลอดในหลายๆซีซั่นที่ผ่านมา แต่ต้องบอกเลยว่า "ไก่เดือยทอง" มักจะออกลูก "แผ่วปลาย" ให้เห็นเป็นประจำ อย่างฤดูกาลที่ผ่านมา ก็ขับเคี่ยวกับ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล อยู่ดีๆ จากนั้นฟอร์มก็ออกทะเลไปไกล ถึงขั้นร่วงมารั้งที่ 4 จนต้องมานั่งลุ้นติดท็อปโฟร์กันยันแมตช์สุดท้าย
แน่นอนว่าเรื่องของแผ่วปลายมันย่อมมีที่มา และ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ "สเปอร์ส" ดูแผ่วปลาย ไม่มีแชมป์ติดมือ ก็คือเรื่องของอาการบาดเจ็บ อย่างซีซั่นก่อน ใครเจ็บไม่เจ็บ ดันทะลึ่งมาเป็น แฮร์รี่ เคน ศูนย์หน้าเบอร์ 1 ของทีม ที่เดี้ยงนานเป็นร่วมๆ 2 เดือน จริงอยู่ว่าพวกเขาผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อให้ขาด "เฮอร์ริเคน" แต่กระนั้นเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่มันเตะต่อเนื่อง มันส่งผลร้ายแรงอย่างยิ่ง
5. อาร์เซน่อล
จุดแข็ง : เสริมตัวดี โดยเฉพาะ นิโคลัส เปเป้
ถ้าพูดถึงเรื่องเกมรุก อาร์เซน่อล มีขุมกำลังอันน่ากลัวแบบไม่เป็นสองรองใคร เพราะนอกจากจะมี เมซุต โอซิล, เฮนริค มคิตาร์ยาน, อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง อยู่แล้วนั้น ออปชั่นใหม่ที่จะเข้ามาเสริมอีกคน เป็นระดับค่าตัวสถิติสโมสร นิโคลัส เปเป้ แนวรุกที่ซื้อมาจาก ลีลล์ 72 ล้านปอนด์
หลายคนอาจจะงงว่า ตัวรุกแบบนี้จะเล่นกันได้เหรอ ? บอกก่อนว่า เปเป้ ไม่ได้เป็นหน้าเป้าธรรมชาติ แต่เขาเป็นปีกที่สามารถจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม เพราะกดไปถึง 23 ตุง จากการลงเล่น 41 นัด ท่าไม้ตายเหมือนก็อปร่างมาจาก อาร์เยน ร็อบเบน เพราะเป็นตัวที่ชอบเลี้ยงตัดเข้าในแล้วยิงประตู อีกทั้งเปิดบอลได้อย่างแม่นยำจัดไป 12 แอสซิสต์ น่าจะแบ่งเบาภาระ โอซิล ได้เป็นอย่างดี
จุดอ่อน : ปัญหาเรื่องแนวรับ
เป็นที่ทราบกันดีว่า อาร์เซน่อล ยังคงมีปัญหาในเรื่องของเกมรับ วันไหนที่เกมรุกไม่ทำงาน เกมรับมักไม่ค่อยขึ้นมาทดแทนกันได้ ฤดูกาลที่ผ่านมา "ไอ้ปืนใหญ่" ต้องเสียประตูไปถึง 51 ลูก มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในบรรดาท็อปซิกซ์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย กับทีมที่มีเป้าหมายเรื่องลุ้นแชมป์ หรือ กลับไปทวงโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง
ไม่รู้ว่าการปล่อย โลร็องต์ กอสเซียลนี่ ออกไป แล้วได้ตัว ดาวิด ลุยซ์ เข้ามา จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้หรือไม่ สิ่งนี้ต้องให้เวลาเป็นคำตอบ ! แต่ไม่ใช่แค่เกมรับอย่างเดียว เพราะบรรดามิดฟิลด์อย่างเช่น กรานิต ชาก้า จำเป็นจะต้องสกรีนเกมรุกคู่แข่งให้มันมากกว่านี้ การมีประสบการณ์ พรีเมียร์ลีก มาหลายซีซั่น มันควรจะต้องเล่นให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่เอะอะโดนใบเหลือง เพราะอย่างน้อยมันน่าจะเป็นการแบ่งเบาภาระให้เพื่อนๆ เพื่อลดจำนวนการเสียประตูให้มันน้อยลง
6. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
จุดแข็ง : เกมรับ 2 ตัวใหม่
อาจจะดูใช้เงินแบบแพงเว่อร์ แต่การได้ตัว อาร่อน วาน-บิสซาก้า กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เข้ามาอุดรอยรั่วเกมรับ เปลี่ยนแปลง "ปีศาจแดง" ตนนี้ ไปในพริบตา จากเคยมี แอชลี่ย์ ยัง, คริส สมอลิ่ง และ ฟิล โจนส์ แต่โฉมใหม่กลายเป็น วาน-บิสซาก้า, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ซึ่งมันก็ผลิดอกออกผลให้เห็น อย่างในเกมที่ถล่ม เชลซี ยับเยิน 4-0
บิสซาก้า ได้รับคำชมอย่างมาก ทั้งการแท็คเกิ้ล, การเล่นเกมรับ และ สปีดอันว่องไวในการเติมเกมรุก แต่หนึ่งในคนที่มีแววคุ้มค่าตัวสถิติโลกแนวรับ 80 ล้านปอนด์อย่างมาก ก็หนีไม่พ้น แม็คไกวร์ เพราะเกมนัดถล่ม "สิงห์บลูส์" เขาได้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ช่วยสกัด ช่วยบล็อคจังหวะสำคัญหลายๆหน ทำให้แฟนบอล "ปีศาจแดง" ดูจะอุ่นใจเหลือเกิน ว่าต่อจากนี้ ไม่ได้มีเพียง ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตู คนเดียวแล้วเท่านั้น ที่จะต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง เพื่อไม่ให้ทีมเสียประตู
จุดอ่อน : โซเชียล เน็ตเวิร์ค
วันใดที่เก็บชัยชนะ วันนั้นย่อมหอมหวาน แต่ถ้าหากวันใดที่พ่ายแพ้เป็นห่วงเหลือเกินว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะต้องกลับสู่วังวนเดิมๆเหมือนซีซั่นก่อน ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ จุดอ่อนของ "ปีศาจแดง" ไม่ใช่เรื่องคุณภาพของนักเตะ โดยเฉพาะเกมรุก เพราะมีแต่ฝีเท้าดีๆ ทั้ง ปอล ป็อกบา, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด และ อาจจะเป็นจุดอ่อนของเหล่าแข้ง "ปีศาจแดง" นั่นก็คือการเล่น โซเชียล เน็ตเวิร์ค มิเช่นนั้นคำว่า
"บีนส์ บีนส์ บีนส์" คงไม่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก เพราะอายุเฉลี่ยของทีม แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ที่ราวๆ 26 ปีเศษ ซึ่งก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น
ฉะนั้นการใช้ โซเชียล ให้รู้จักเวลา หรือ สถานการณ์ มันย่อมมีผลสำคัญ เหมือนอย่างซีซั่นก่อน ที่ผลงานทีมย่ำแย่ แต่นักเตะดูไม่แคร์สื่อเท่าไหร่ บางทีตรงนี้มันอาจทำให้แฟนบอลไม่พอใจ และ มันจะลุกลามไปถึงความสัมพันธ์ ถ้าปรับปรุงได้ จะเป็นอะไรที่ดีมากๆ
อย่าลืมหาที่ดู ที่เชียร์ สดๆ กันนะครับ #ช้างฟุตบอลโมเม้นท์ #เพื่อนกันทีมเดียวกันถึงขอบสนาม #ไปเชียร์กัน #ช้าง #เอ้าชน
