logo-heading

สงครามลูกหนัง “ไทยลีก 2019” เดินทางเข้าสู่โค้งสุดท้ายแบบเต็มตัว ถึงตรงนี้เหลือเพียง 3 นัดจะได้บทสรุปว่าใครคือ “แชมป์” และ “ตกชั้น” !!!

นี่คือฤดูกาลที่ “ไทยลีก” ต่อสู้กันอย่างเข้มข้นทั้งบนและท้ายตารางคะแนน สถานการณ์จนถึงหลังจบนัดที่ 27 ของฤดูกาลยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าเกมจะลงเอยอย่างไร 3 นัดสุดท้ายเหลือ 9 คะแนนให้ไล่ล่า ดูจากแต้มบนตารางคะแนนแล้วต้องตัดเหลือแค่ 3 ทีมเท่านั้นที่เข้าข่าย “แย่งแชมป์” ย้ำก่อนว่าการจัดอันดับเมื่อจบฤดูกาลหากเกิดกรณี “แต้มเท่ากัน” จะดูที่ “เฮดทูเฮด” หรือผลการแข่งขันที่เคยพบกันมาของทีมที่มีแต้มเท่ากัน ถ้าเงื่อนไขแรกไม่จบให้ดูข้อต่อไปที่ผลต่างประตูได้-เสียของทีมที่มีคะแนนเท่ากัน แต่ไม่นับ “กฎยิงประตูทีมเยือน” คือนับแค่สกอร์ที่ยิงกันได้รวมกันเท่านั้น หากสกอร์รวม 2 นัดเท่ากันอีกต้องพิจารณาที่ข้อต่อไปคือดูจาก “ประตูได้” ในการเจอกันของทีมที่คะแนนเท่ากัน แต่ถ้า “เฮดทูเฮด” เท่ากันหมด ทีนี้ต้องไปดูที่ตารางคะแนนรวม เริ่มจากผลต่างประตูได้-เสีย, ประตูได้, คะแนนใบเหลือง-ใบแดง กรณีสุดท้ายจริงๆหากทุกอย่างเท่ากันหมดคือ “แข่งขันใหม่ 1 นัดเพื่อหาทีมชนะ” ถ้า 90 นาทีเสมอกันอีกให้เตะจุดโทษให้จบกันไปเลย !!! ทว่าดูจากสถานการณ์บนตารางคะแนนแล้วไม่น่าจะต้องดูกันยาวไปจนถึงข้อสุดท้าย เพราะถ้าแต้มเท่ากันจริงน่าจะจบตั้งแต่ “เฮดทูเฮด” แล้ว 3 นัดสุดท้าย....ใครจะคว้าแชมป์ “ไทยลีก” จากสถานการณ์บนตารางคะแนนตอนนี้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ถือว่าได้เปรียบที่สุด นั่นคือทุกอย่างอยู่ที่ตัวเอง หากเก็บชัยชนะ 3 นัดที่เหลือได้จะคว้าแชมป์ทันที “กว่างโซ้ง” มี 51 แต้มเท่ากับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีม “แชมป์เก่า” แต่ “เฮดทูเฮด” ของทีมจากเมืองเหนือสุดของสยามดีกว่า การเจอกันเลกแรกที่ “ช้าง อารีน่า” ของ “ปราสาทสายฟ้า” จบลงที่สกอร์ 0-0 เลกสองที่ “สิงห์ สเตเดียม” เป็น สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ถล่ม 4-0 ทำให้ “เฮดทูเฮด” เหนือกว่า ดังนั้น 3 นัดสุดท้ายที่ “กว่างโซ้ง” มีคิวบุก พีทีที ระยอง วันที่ 3 ต.ค. เปิดบ้านเจอ พีที ประจวบ วันที่ 20 ต.ค.แล้วปิดท้ายเยือน สุพรรณบุรี วันที่ 26 ต.ค. หากเก็บได้หมดคือ “แชมป์” แต่ถ้าเก็บได้ไม่หมดต้องลุ้นให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เก็บแต้มได้ไม่มากไปกว่ากันใน 3 นัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ด้วย 3 นัดสุดท้าย....ใครจะคว้าแชมป์ “ไทยลีก” 3 นัดสุดท้ายของ “แชมป์เก่า” มีวันที่ 2 ต.ค.เยือน นครราชสีมา วันที่ 20 ต.ค.หนักสุดเจอ การท่าเรือ แล้วปิดท้ายวันที่ 26 ต.ค.เยือน เชียงใหม่ เอาง่ายๆ ว่าถ้าผลการแข่งขันของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ออกมาเหมือนกันใน 3 นัดสุดท้ายจะทำให้ “กว่างโซ้ง” เป็นแชมป์ “ไทยลีก” สมัยแรกทันที อย่างไรก็ดี “ตาอิน” กับ “ตานา” ต้องระวัง “ตาอยู่” อย่าง การท่าเรือ ด้วย ตอนนี้อยู่อันดับ 3 เก็บไป 46 แต้ม แต่ยังมีนัดตกค้างกับ นครราชสีมา ในวันที่ 27 ก.ย.เหลือ 1 นัด สมมุติว่า “สิงห์เจ้าท่า” เก็บ 3 แต้มจาก “สวาทแคท” ได้จะมีเพิ่มเป็น 49 แต้มทันที เท่ากับว่าตามหลัง “กว่างโซ้ง” กับ “ปราสาทสายฟ้า” เพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น 3 นัดสุดท้าย....ใครจะคว้าแชมป์ “ไทยลีก” ทีนี้ 3 นัดสุดท้ายถือว่าได้ลุ้นเหมือนกัน เริ่มจากวันที่ 2 ต.ค.เจอ ชัยนาท วันที่ 20 ต.ค.เยือน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้วปิดท้ายวันที่ 26 ต.ค.เจอ สมุทรปราการ ซิตี ดูจากสถานการ์แล้วยังได้ลุ้นทั้ง 3 ทีม แต่เมื่อพิจารณาจากโปรแกรมแล้วต้องบอกว่า สิงห์​ เชียงราย ยูไนเต็ด มีโอกาสมากสุด เพราะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องตัดแต้มกันเองกับ การท่าเรือ แต่คำว่า “ฟุตบอลลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้” ยังคงใช้ได้เสมอ โดยเฉพาะใน “ไทยลีก” ที่คาดเดาผลการแข่งขันไม่ง่ายเลยในช่วงส่งท้ายฤดูกาลแบบนี้ เอาเป็นว่ามาตามลุ้นกันใน 3 นัดสุดท้ายว่า “ไทยลีก” จะมี “แชมป์หน้าใหม่” หรือไม่ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมามีแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เท่านั้นที่จารึกชื่อแชมป์ ปีนี้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด มีโอกาสเป็นแชมป์หน้าใหม่มากที่สุดแล้ว หากทำได้จะเป็น "ทีมจังหวัด" ทีมที่ 3 ต่อจาก ชลบุรี และ บุรีรัมย์​ ยูไนเต็ด ที่ผงาดซิวแชมป์ลีกสูงสุดของไทย ขณะที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังมีโอกาสลุ้นแชมป์สมัยที่ 7 ได้ในฤดูกาลที่พวกเขาถูกมองว่า “ต่ำกว่ามาตรฐาน” ที่สุดในรอบหลายปีหลังเสียกองหน้าตัวเก่งอย่าง ดิโอโก หลุยส์​ ซานโต ไป ส่วน การท่าเรือ ทีมที่เก่าแก่ที่สุดใน “ไทยลีก” ยุคนี้ยังไม่เคยสัมผัสแชมป์ลีกเลยสักครั้ง ฤดูกาลนี้ถือว่ามาได้ใกล้เคียงที่สุดมากๆแล้ว

ทั้ง 3 ทีมนี้ใครจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ “ไทยลีก” เหลือลุ้นอีกเพียงแค่ 3 นัดเท่านั้น เชื่อว่าต้องลุ้นกันไปจนถึงนัดสุดท้ายวันที่ 26 ต.ค.แน่นอน

แฟนบอลต้องตามลุ้นตามเชียร์กันแบบห้ามกระพริบตา นี่คือ “ไทยลีก” ฤดูกาลที่เข้มข้นสุดๆจริงๆ

 

 “บับเบิ้ล”

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline