logo-heading

เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือ 2 ดาวเตะที่หากเลิกเล่นไป ได้ขึ้นชั้นเป็นตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน เพราะทั้งคู่ต่างร่วมมือกัน เดินหน้ากระหน่ำประตูใส่คู่แข่ง พาทัพ "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์มามากมายตลอดเวลาที่เล่นร่วมกันในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่กับการลงเล่นรับใช้ทีมชาติมันก็อีกเรื่องนึง.. .

เพราะจากเพื่อนรักเพื่อนซี้ในทัพ "ปีศาจแดง" ต้องกลายมาเป็นคู่แข่งกันในศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เยอรมัน เวย์น รูนี่ย์ คือดาวยิงตัวความหวังของทีมชาติอังกฤษ ส่วน โรนัลโด้ คือซูเปอร์สตาร์ประจำทีมชาติโปรตุเกส เรียกง่ายๆ ว่าทั้งคู่คือคีย์แมนคนสำคัญของชาติตัวเอง ฉะนั้นทฤษฏีง่ายๆ หากอยากมีโอกาสผ่านเข้าสู่รอบต่อไปให้ง่ายขึ้น ก็ต้องหยุดยั้งหรือกำจัดแข้งคนสำคัญของคู่แข่งออกไปให้ได้เร็วที่สุดนั่นเอง และก็ดูเหมือนว่าทั้ง 2 ชาติจะใช้วิธีเดียวกัน นั่นคือให้แนวรับตามจิกตามตอด กวนประสาททั้ง โรนัลโด้ และ รูนี่ย์ ให้อารมณ์เสีย และสุดท้ายก็เป็น "หมูรูน" ที่ฟิวส์ขาดซะก่อน เจตนาย่ำเข้าไปเต็มๆ ที่กล่องดวงใจ หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ คือ กระเจี้ยว ของ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ แนวรับทัพ "ฝอยทอง" ในนาทีที่ 61 ต่อหน้าต่อตาผู้ตัดสิน โฮลาซิโอ อลิซอนโด้ อย่างไรก็ตาม อลิซอนโด้ ยังไม่ควักใบแดงไล่ รูนี่ย์ ออกในทันที ทว่าในจังหวะที่ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนไตน์กำลังพิจารณาอยู่นั้นว่าควรลงโทษสถานไหน โรนัลโด้ ก็รีบวิ่งปรี่เข้ามาหา สิงห์เชิ๊ตดำ พร้อมโวยวายขอให้แจกใบแดงไล่ เพื่อนซี้ออกจากสนามไป ซึ่ง "หมูรูน" ก็ดูไม่พอใจอย่างมากที่เข้ามายุ่ง ถึงขนาดผลักอก "ซีอาร์ 7" ออกไปเลยทีเดียว ร้อนถึง แกรี่ เนวิลล์ รุ่นพี่ในทัพ "ปีศาจแดง" ต้องรีบวิ่งปรี่มาห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะบานปลายลามไปถึงสโมสร สุดท้าย อลิซอนโด้ ตัดสินใจควักใบแดงไล่ เวย์น รูนี่ย์ ออกจากสนามไป ซึ่งหากดูจากเจตนาของ เสี่ยหมู แล้วมันก็ให้ใบแดงได้แหละ แล้วเรื่องมันก็น่าจะจบ ถ้าหาก โรนัลโด้ ไม่หันไปที่ม้านั่งสำรองของทัพ "ฝอยทอง" แล้วขยิบตาครั้งนึง เชิงแสดงออกว่า เห้ย กูทำสำเร็จละนะ กำจัดกำลังสำคัญของ "สิงโตคำราม" ได้แล้ว แถมสุดท้ายก็เป็น โปรตุเกส ที่แม่นโทษกว่าเอาชนะ อังกฤษ ไปได้ในการดวลจุดโทษ 3-1 หลังเสมอกันในเวลา 0-0 ซึ่งพอ "สิงโตคำราม" ตกรอบ ทีนี้ก็ชิพหายสิครับ สื่อผู้ดีตีข่าวโยนบาปให้ โรนัลโด้ ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ รูนี่ย์ ต้องโดนไล่ออก และส่งผลให้ อังกฤษ ตกรอบ จบทัวร์นาเม้นท์ โปรตุเกสจบเป็นอันดับ 4 แพ้เจ้าภาพเยอรมัน 3-1 ในการชิงที่ 3 แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับผลที่ โรนัลโด้ จะได้รับตอนกลับมาเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แดนผู้ดีอีกครั้ง เพราะแม้แต่แฟนผีเอง ยังมีบางส่วนเลยที่ยังโกรธ "ซีอาร์ 7" กับการขยิบตาไปที่ม้านั่งสำรอง ถึงขนาดโห่ไล่นักเตะทีมรักของตัวเอง แต่อย่างที่ทราบกันดี จิตใจของ โรนัลโด้ นั้นแข็งแกร่งดั่งภูผา ยิ่งโห่มาข้ายิ่งเก่ง ฤดูกาล 2006/07 หรือจบจากบอลโลกที่เยอรมัน โรนัลโด้ คว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดประจำทีม พร้อมพา "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับกระแสข่าวคนแอนตี้ โรนัลโด้ ที่เริ่มลดน้อยถอยลงไป และส่วนตัว โด้ กับ รูน เองก็จูบปากกันตั้งแต่กลับมาเล่นให้ต้นสังกัดแล้วด้วย ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ใครหลายคนคิดว่า "เสี่ยหมู" กับ "ซีอาร์ 7" แอบเคืองแอบโกรธกันอยู่ แต่ที่ดูในสนามยามเล่นด้วยกันมันไม่ใช่เลย มิหนำซ้ำ ถัดมาอีกฤดูกาลยังช่วยกันคว้าแชมป์ยุโรป กับ แชมป์ลีกอีกต่างหาก. .. จะว่าไปเรามาลองดูบทสัมภาษณ์ของ โรนัลโด้ กับ รูนี่ย์ ที่เคยชี้แจงไว้แบบละเอียดกันถึงเรื่องนี้ดีกว่า จะได้หายคาใจ เริ่มจาก พี่โด้ ก่อนละกัน พูดละเอียดสุดก็คงเป็นเมื่อปี 2018 ที่กล่าวไว้ว่า "สื่อแม่งสร้างเรื่องดราม่าใหญ่โตทั้งที่จริงๆ มันไม่มีอะไรเลย ดังนั้นตอนที่ผมกลับมาที่อังกฤษ ผมยอมรับว่าผมค่อนข้างกลัว ไม่ใช่เพราะ รูนี่ย์ หรอกนะ แต่เพราะแฟนบอลทีมชาติอังกฤษนี่แหละ สื่อมโนขึ้นมาเองการขยิบตาของผมมันเกี่ยวกับ รูนี่ย์ แต่ที่ผมทำแบบนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับ รูนี่ย์ เลย มันเป็นเรื่องอื่น"  "มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผมนะ เพราะผมรู้ดีว่าถ้าผมกลับมา แมนเชสเตอร์ ต้องโดนแฟนบอลตามโห่ทุกสนามที่ลงเล่นแน่ๆ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของอดีต ผมคุยกับ รูนี่ย์ ทันทีตอนกลับมาที่ แมนเชสเตอร์"  "เรายังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เราพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น และเขาก็เข้าใจมุมมองของผม เขาดีมากๆ เขาพูดกับผมว่า 'ฟังนะ คริสเตียโน่ เรื่องนี้มันคืออดีต เรามาพูดถึงปัจจุบันกันเถอะ เรามาพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไปด้วยกันดีกว่า'" ขณะที่ เวย์น รูนี่ย์ ซึ่งไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่นัก อยู่ๆ ล่าสุดก็มาเขียนคอลัมม์ใน "Sunday Times" เล่าให้ฟังแบบเต็มๆ แบบไม่มีกั๊กว่า "เกมของเรากำลังเป็นไปได้ดี แต่จากนั้นช่วงต้นครึ่งหลังผมก็มาโดนใบแดง มันเป็นรีแอคชั่นจากการที่ผมหงุดหงิดที่ไม่ได้ฟาล์ว ทั้งที่มันชัดเจนว่าควรจะฟาล์ว คาร์วัลโญ่ ผลักผมเต็มๆ ในจังหวะนั้น" "แต่ อลิซอนโด้ (ผู้ตัดสิน) ไม่ว่าอะไรเลย จากนั้นผมก็ตบะแตกย่ำใส่ คาร์วัลโญ่ ผมทำไปโดยขาดการยั้งคิด ผมรู้ทันทีที่ย่ำไปว่าผมต้องโดนไล่ออก และ ต้องกลับเข้ามาในห้องแต่งตัว มีจอเล็กๆให้นั่งชม ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าเราชนะผ่านเข้ารอบไปได้ ผมจะโดนแบนในรอบรองชนะเลิศ และ นัดชิงชนะเลิศ แต่ถ้าแพ้ มันจะเป็นความผิดของผม มันเป็นความรู้สึกเลวร้ายและแปลกประหลาดที่สุดของผมในชีวิตค้าแข้ง” “ผมเองมีโทรศัพท์อยู่ในมือ และ ได้รับข้อความมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำ เพราะเหตุการณ์นั้น โรนัลโด้ วิ่งไปถามผู้ตัดสิน ให้ไล่ผมออกจากสนาม ช่วงเวลานั้นผมไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาทำ แต่การได้นั่งในห้องแต่งตัวมันทำให้ผมสงบสติอารมณ์” “ผมถามตัวเองว่าถ้าเป็นผมจะทำแบบเดียวกันกับ โรนัลโด้ ไหม? ก็อาจจะ ผมจะไปเผชิญหน้ากับผู้ตัดสิน เพื่อทำให้แน่ใจว่าเขาต้องโดนไล่ออก เพราะถ้าเขาถูกใบแดง มันจะช่วยให้เราได้รับชัยชนะ แต่เอาจริงๆ เกมนั้นผมพยายามทำให้ โรนัลโด้ โดนใบเหลืองจากจังหวะพยายามพุ่งล้มในครึ่งแรก ส่วนเรื่องที่เขากะพริบตา ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มันไม่มีอะไร” “เมื่อผมสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ผมก็เดินไปเจอ โรนัลโด้ ตรงอุโมงค์ทางเดิน ผมรู้สึกว่ามันสำคัญที่ต้องพูดกับเขาแบบต่อหน้าในช่วงที่สถานการณ์มันยังคุกรุ่น เขามองผม เหมือนอยากให้ผมขอโทษที่ผลักอก แต่ผมมีเพียงแค่ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในหัว ผมเลยพูดว่า ฉันไม่ได้มีปัญหากับนาย ขอให้นายโชคดีกับทัวร์นาเมนต์นี้ และ เดี๋ยวรอเจอกันในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นพวกเราจะพาทีมเป็นแชมป์ลีกด้วยกัน โอเคมั้ยเพื่อน”

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราว เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด แค่ในสนาม และแค่เกมเดียวเท่านั้น สุดท้ายก็ทั้งคู่ก็เป็นมืออาชีพกลับมาดีกัน ช่วยพา แมนฯ ยูไนเต็ด กวาดแชมป์มากมาย และรอวันก้าวขึ้นไปเป็นตำนานของ "ปีศาจแดง" และเป็นเพื่อนซี้กันมาจนถึงทุกวันนี้

ชิน ชินพัฒน์

logoline