logo-heading

“ช่วงที่พีคที่สุดของผม ผมเก่งกว่า เนย์มาร์ ซะอีก ถ้าเขาอยากจะเหนือกว่าผม เขาก็ต้องคว้าแชมป์โลกมาให้ได้ซะก่อน ผมมีมุมมองเป็นของตัวเอง สำหรับ เมสซี่ ถ้าเขาอยากจะเก่งกว่าผม เขาก็ต้องคว้าแชมป์โลกให้ได้เช่นกัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนะหรอ เขามีดีแค่ความแข็งแกร่ง กับ ยิงประตูได้ทั้ง 2 เท้า แต่ผมก็ยังมีฝีเท้าที่ดีกว่าเขาอยู่ดีนะ” 

นี่คือคำพูดของ เอดิลสัน อดีตหัวหอกทีมชาติบราซิล ชุดแชมป์โลกปี 2002 ใช่แล้วครับ บราซิล ชุดแชมป์โลก ไม่ค่อยคุ้นชื่อกันใช่มั้ยครับ ไม่แปลกหรอกฮะ เพราะถ้าอยู่ๆ พี่แกไม่ออกมาพูดอะไรไร้สาระแบบนี้ เราก็คงลืมเขาไปแล้ว เพราะ เอดิลสัน เป็นแค่อะไหล่สำรองของบราซิลในชุดนั้น หนำซ้ำทั้งชีวิตยังติดธงแซมบ้าไปแค่ 21 นัด และยิงได้แค่ 6 ประตู ซึ่งถือว่าน้อยมากหากจะเรียกตัวเองว่ากองหน้าทีมชาติบราซิล เอาหละ แต่ไม่รู้ว่าด้วยอะไร ไปโดนตัวไหนมาถึงทำให้พี่แกกล้าพูดด้วยความมั่นใจขนาดนี้ว่า ช่วงพีคๆ ของแกนี่ใครในโลกนี้ก็เอาไม่ลงขนาด 3 แข้งเทพแห่งยุคนี้ยังสู้ไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้ ขอบสนาม ขอพาท่านไปแนะนำให้รู้จักกับเขาคนนี้กันหน่อยดีกว่า เอดิลสัน เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1971 ปัจจุบันอายุ 48 ปี มีชื่อเต็มๆ ว่า เอดิลสัน ดา ซิลวา แฟร์ไรร่า สูง 168 เซนติเมตร เล่นในตำแหน่งกองหน้า โดยสโมสรแรกในอาชีพค้าแข้งของเขาคือทีม อินดัสเทียล ในลีกสมัครเล่นของบราซิล จากนั้นก็ได้ย้ายมาอยู่กับสโมสรอาชีพชื่ ทานาบี้ แต่ไม่ได้โอกาสลงสนามเลยสักนัด ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ กัวรานี่ ในปี 1992 และที่นี่เองที่ เอดิลสัน ได้เปิดซิงลงเล่นในฐนะนักฟุตบอลอาชีพเป็นเกมแรก ในวัย 21 ปี ซึ่งถือว่าเริ่มช้ามากๆ อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการเป็นซีซั่นแรก แต่ฟอร์มการเล่นของเขาก็ไม่ธรรมดา ลงเล่นไป 33 นัด ซัดไป 11 ประตู จนทำให้ทีมใหญ่อย่าง พัลไมรัส เห็นแววกระชากตัวไปร่วมทีม ก่อนจะได้ลงเล่นในฤดูกาลแรกกับ พัลไมรัส ไป 20 นัด ซัด 8 ประตู มีส่วนช่วยพาทีมคว้าแชมป์ บราซิล เซเรีย เอ มาครองได้สำเร็จ ทว่าในปี 1993 การย้ายเข้ามาของ เฟรดดี้ ลินคอล์น ดาวเตะชื่อดังทีมชาติโคลอมเบียในเวลานั้น ก็ทำให้ เอดิลสัน กลายเป็นส่วนเกินของ พัลไมรัส และถูกปล่อยให้ เบนฟิก้า ยืมตัวไปใช้งาน ซึ่งถือเป็นการลงเล่นให้ทีมในทวีปยุโรปครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิตนี้ของเจ้าตัวด้วย แต่จะว่าไปผลงานการลงเล่นแบบยืมตัวกับ "เหยี่ยวลิสบอน" ก็ไม่เลวเลยนะ เพราะกดไป 17 ประตู จาก 31 เกม ค่าเฉลี่ยเกินครึ่ง และเป็นที่รักของแฟนบอล ทว่า อาร์ตู ฆอร์เก้ กุนซือ เบนฟิก้า ณ ตอนนั้น ไม่ประทับใจ เลือกที่จะไม่ใช้ออปชั่นซื้อขาด และถีบหัวส่งกลับคืนไปบราซิล ปี 1995 เอดิลสัน ต้องกลับมาลงเล่นให้ พัลไมรัส อีกครั้ง ลงไป 21 นัด กดไป 10 ประตู แต่ก็ไม่ดีพอที่จะเป็นตัวหลักของทีม เขาถูกส่งให้ คาชิว่า เรย์โซล ทีมดังใน เจลีก ญี่ปุ่นยืมตัวไปใช้งาน 2 ปีเต็ม ซึ่งที่แดนเอวีนี่แหละที่น่าจะเป็นช่วงที่เขามีฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้ง เพราะแม้จะไม่ได้แชมป์อะไรมาประดับบารมี แต่พี่แกก็ยิงกระจายกดไป 44 ลูก จาก 54 นัด ใน 2 ฤดูกาล ซึ่งแม้จะฟอร์มดีแค่ไหน แต่ พัลไมรัส ก็ยังไม่คิดใช้งานเขาอยู่ดี ปี 1997 เอดิลสัน หมดสัญญากับ พัลไมรัส และเลือกเซ็นซบทีมคู่อริอย่าง โครินเธียนส์ ทันที ไม่รู้ว่าจงใจกวนตีนทีมเก่าที่ไม่เห็นค่ารึป่าวอันนี้ไม่อาจทราบได้ แต่ช่วงเวลา 3 ปีที่ เอดิลสัน อยู่กับ โครินเธียนส์ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จมากสุดในอาชีพค้าแข้งระดับสโมสรแล้ว เพราะมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ลีก บราซิล มาครองได้ 2 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย ในปี 2000 พร้อมกับคว้ารางวัล "โกลเด้น บอล" ประจำทัวร์นาเม้นท์มาครองได้ด้วย ในวัย 29 ปี เอดิลสัน ถูก โครินเธียนส์ ขายทิ้งให้ ฟลาเมงโก้ จากนั้นก็เตร็ดเตร่ไปอยู่กับ ครูไซโร่, วิคตอเรีย, อัล ไอน์, เซา แคร์ตาโน่, วาสโก ดา กาม่า, นาโกย่า แกมปัส ก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 39 ปี กับสโมสร บาเฮีย ในปี 2010 ยุติ 18 ปีบนถนนลูกหนัง และนี่คือประวัติคร่าวๆ ของ เอดิลสัน กับการลงเล่นในระดับสโมสร เอาหละ ต่อไปเราจะไปเจาะประวัติการเล่นให้ทีมชาติบราซิลของพี่แกหน่อย ไปดูสิว่าหนทางยากลำบากมากขนาดไหนกว่าจะได้เป็นหนึ่งในขุนพลทัพแซมบ้า ชุดแชมป์โลก 2002 เอดิลสัน ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ครั้งแรก ในปี 1993 สมัยที่เจ้าตัวเพิ่งย้ายมาอยู่กับ พัลไมรัส โดยเกมเปิดซิงเป็นการเอาชนะ ปารากวัย ไป 3-0 ประตู ซึ่งตอนนั้นคาดว่าเขาอาจจะมีชื่อติดทีมไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐฯ ด้วย แต่สุดท้ายก็หลุดทีมไป ซึ่งต่อมามีการเปิดเผยว่าสาเหตุที่เจ้าตัวถูก คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรร์ร่า กุนซือทีมชาติบราซิลในเวลานั้น หั่นชื่อทิ้งเพราะเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขโมยสร้อยข้อมือทองคำของเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว!! และก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุนี้รึป่าวที่ทำให้ เอดิลสัน ไม่ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอีกเลยเป็นเวลา 7 ปี ก่อนกลับมามีชื่ออีกครั้งในปี 2000 ก็คือช่วงที่คว้ารางวัล "โกลเด้น บอล" จากทัวร์นาเม้นท์ชิงแชมป์สโมสรโลกนั่นแหละ และในปี 2001 หนึ่งปีก่อนศึกฟุตบอลโลก 2002 เอดิลสัน ก็ถูกเรียกมารับใช้ชาติบ่อยขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็มีประเด็นอีกแล้วครับ! เรื่องของเรื่องก็คือ ก่อนหน้าศึกเวิลด์คัพ 2002 จะอุบัติขึ้น พวกเกมอุ่นเครื่อง หรือเกมที่มักจะให้โอกาสพวกที่ไม่ใช่ตัวหลักลงเล่น เอดิลสัน ได้ตกลงกับ ฟรานก้า อีกหนึ่งหัวหอกบราซิลว่า เราจะไม่แย่งซีนกันนะ มีจังหวะก็จะคอยช่วยเหลือส่งบอลให้กัน เพื่อโค้ชจะได้เห็นว่าเราเล่นดีทั้งคู่ แล้วจะได้เรียกไปลุยฟุตบอลโลกด้วยกัน ตกลงกันดิบดี แต่พอถึงเวลาจริง ฟรานก้า ส่งให้ เอดิลสัน ยิง แต่กลับกัน ไอ้เอดิลสัน ดันไม่ส่งให้ ฟรานก้า ซะงั้น เรื่องนี้ไม่ได้พูดลอยๆ แต่มีหลักฐานยืนยันเป็นคำบอกเล่าจาก แวมเปต้า มิดฟิลด์ บราซิล ที่อยู่ในทีมชุดนั้นด้วย ได้เล่าถึงเรื่องนี้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองว่า "ตอนนั้น ฟรานก้า โมโหมาก เขาเดินมาพูดกับผมว่า เพื่อนมึงอะ ไอเชี่ยเอดิลสัน อะแม่งเป็นคนทรยศ กูตกลงกับมันดิบดีว่าให้ช่วยส่งบอลให้กัน แม่งมันมีโอกาสส่งให้กูสวยๆ 3 ครั้ง แต่แม่งไม่ส่งสักครั้ง ไอสัส เราตกลงกันว่าจะช่วยกันเพื่อไปฟุตบอลโลกด้วยกัน แล้วดูแม่งทำกับกูดิ กูมีโอกาสส่งให้มันยิงสวยๆ 3 ครั้ง แล้วก็ส่งให้มันยิงตลอด สุดท้ายแม่งติดทีมไปบอลโลก ส่วนกูโดนคัดออก กูไม่น่าส่งให้แม่งยิงเลยแม้แต่ลูกเดียว" อย่างไรก็ตาม แม่้จะทรยศหักหลังเพื่อนมา แต่นั่นก็ทำให้ เอดิลสัน ได้สัมผัสกับศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมที่เจอกับ คอสตาริกา กับ ตุรกี ลงเป็นตัวสำรองในเกมกับ จีน และ อังกฤษ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ตัวหลักของทีม และยิงประตูไม่ได้เลย แต่นั่นก็เพียงพอให้เขามีชื่อเป็นหนึ่งในขุนพลชุดประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้สำเร็จ และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาใช้คุยข่มว่าเขาเหนือกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซี่ และ เนย์มาร์

ชิน ชินพัฒน์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมผ่านทางไลน์
logoline