logo-heading

ในโลกของฟุตบอลเมื่อเอ่ยถึงคำว่า ‘5 ลีกดังของยุโรป‘ มันก็จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา, บุนเดสลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา และ ลีก เอิง แต่สิ่งที่เป็นเครื่องคำถามนั่นก็คือที่ไหนคือ ลีก ที่ได้ชื่อว่า ‘ดีที่สุด’ กันแน่ ???

หลายคนจะตัดชื่อของ ฝรั่งเศส, เยอรมัน และ อิตาลี ทิ้งไปเพราะเรื่องความท้าทายอาจจะดูมีน้อยไปหน่อย จากการที่เราเห็นพวก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, บาเยิร์น มิวนิค และ ยูเวนตุส ครองอำนาจในถิ่นของตัวเองอยู่เป็นประจำในยุคนี้ ดังนั้นตอนนี้มันก็จะเหลือม้าที่แข่งกันอยู่ 2 ตัวก็คือ พรีเมียร์ลีก กับ ลา ลีกา ซึ่งหลายๆ คนเอาเรื่องนี้มาถกเถียงกันอยู่เป็นประจำว่า ณ ปัจจุบันที่ไหนคือ ‘เดอะ เบสต์’ กันแน่ และวันนี้ทาง ‘ขอบสนาม’ ก็จะนำ 2 เวทีดังกล่าวมาเปรียบเทียบว่าใครโดดเด่นกว่าในเรื่องใดบ้าง ความท้าทายและการแข่งขัน หากพูดถึงความเข้มข้นในการห้ำหั่นแย่งแชมป์ ลา ลีกา ก็จะมีตัวเต็งหลักๆ อยู่แค่ บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด อยู่ที่ว่าใครจะรักษาความคงเส้นคงวาได้มากกว่าเท่านั้นเอง และถึงแม้พักหลังๆ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แอตเลติโก มาดริด จะเป็นศัตรูที่ประกาศศักดาขอร่วมอยู่เส้นทางล่าแชมป์ ลีก ด้วยก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นใน พรีเมียร์ลีก อยู่ดี ถ้าย้อนเวลากลับไปสัก 10 กว่าปีที่แล้ว พรีเมียร์ลีก ก็จะมีอยู่ 4 ทีม ท็อปโฟร์ ฟาดฟันแย่งถ้วยแชมป์กันอย่างเข้มข้นไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี และ อาร์เซน่อล แต่เมื่อตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบันมันมี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นบิ๊กเนมและลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว นั่นทำให้เส้นทางการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก มันยิ่งทวีคูณความยากขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าเรื่องการแข่งขัน, ความท้าทายและความสูสีทาง พรีเมียร์ลีก จะมีมากกว่า ลา ลีกา อย่างเห็นได้ชัด และ 3 สิ่งนี้มันจะเป็นสิ่งชักชวนให้ผู้คนมาลุ้นมาคอยติดตามมากกว่า ลา ลีกา ในระยะยาว แต่ถ้ามองอีกมุม ลา ลีกา แม้ว่าหลัก ๆ จะมีแค่ บาร์ซ่า กับ เรอัล มาดริด พวกเขาก็ลุ้นแชมป์ถึงนัดท้าย ๆ ตลอด แต่ว่า ในพรีเมียร์ ลีก แม้ว่าหลายทีมสามารถต่อกรกันได้ แต่บทจะเป็นแชมป์ แต้มมันก็ขาดอยู่บ่อย ๆ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะปีนี้ที่ ซิตี้ ได้แชมป์ตั้งแต่ไก่โห่ด้วยสถิติ 100 แต้ม ความแตกต่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็ก เวที ลา ลีกา เป็นลีกที่มีค่าเฉลี่ยทีมแชมป์เก็บแต้มได้สูงที่สุดในบรรดา 5 ลีกใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกตะลึงเท่าไหร่ เพราะมาตรฐานฟุตบอลและศักยภาพระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กมันต่างกันหลายขุม เราจะเห็นได้ว่าทีมอย่าง บาร์เซโลน่า หรือ เรอัล มาดริด เวลาเจอกับที่ต่ำชั้นกว่าส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพลาด และมักจะเป็นงานที่ไม่หนักเท่าไหร่สำหรับพวกเขา ไม่เหมือนกับ พรีเมียร์ลีก ที่ทีมเล็กๆ มักจะต่อกรพวกเหล่าทีมบิ๊กเนมได้ดีอยู่ตลอด เราจะเห็นการพลิกล็อคเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ในยุคนี้ ยกตัวอย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด ยังสามารถแพ้ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์, แพ้ ไบร์ทตัน หรือ แพ้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ได้เลย ทั้งที่เรื่องเกรดบอลและชื่อชั้นขุมกำลังนักเตะมันคนละชั้นกันจริงๆ ชื่อชั้นนักเตะ หากพูดถึงระดับชื่อชั้นนักเตะต้องบอก พรีเมียร์ลีก เป็นเวทีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแข้งซูเปอร์สตาร์มากมายกว่าที่ ลา ลีกา แน่นอน ทว่าในทางกลับกันเหล่าพ่อค้าแข้งพวกนั้นต่างก็มีความทะเยอทะยานและความใฝ่ฝันสูงสุดอยากการสัมผัสกับประสบการณ์การเล่นให้โคตรทีมอย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า เช่นกัน อย่างนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกชั่วโมงนี้ นำโดย ลิโอเนล เมสซี และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต่างก็นำสตาร์มากระจุกกันที่สองทีมนี้ ยกตัวอย่างเช่น เอแด็น อาซาร์ ของ เชลซี เขาก็เคยออกมาพูดบ่อยๆ ว่าสักวันหนึ่งอยากจะย้ายไปใช้ชีวิตที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เช่นเดียวกับนักเตะรายอื่นที่มีข่าวกับ 2 ทีมนี้ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘มันคงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธโอกาสจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า’ และมันก็ไม่ใช่แค่นี้อย่างแน่นอน เพราะว่าเหล่าบรรดานักเตะเด่น ๆ ของ พรีเมียร์ ลีก ทั้ง แกเรธ เบล , ลูก้า โมดริช , หลุยส์ ซัวเรซ หรือว่าจะย้อนไป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือจะเป็นล่าสุดอย่าง คูตินโญ่ ก็คงจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ผลงานในสังเวียนยุโรป หลายคนพูดว่านี่คือยุคที่แผ่นดิน สเปน ครองอำนาจความยิ่งใหญ่บนโลกลูกหนังจากการพิสูจน์ตัวเองบนเวทียุโรปด้วยการกอบโกยความสำเร็จมามากถึง 21 รายการ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ยูโรปา ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ) ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ทีมจาก อังกฤษ คว้ามารวมกันได้แค่ 4 ถ้วยเท่านั้น จริงอยู่ว่าพวกหลายทีมใน สเปน เวลาเจอ บาร์ซ่า กับ มาดริด แล้วจะเป็นรอง แต่ว่าพอพวกทีมเหล่านี้มาเล่นในระดับสโมสรยุโรป เจอกับทีมชาติอื่น พวกเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยมและเหนือชั้นกว่า อย่างในรายของเซบีย่า ที่ได้ ยูโรปา ลีก มา 3 ปีซ้อน หรือจะเป็น แอตเลติโก มาดริด พอลงมาเล่นในรายการถ้วยเล็ก ก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้แบบไม่ยากเย็นนัก นั่นจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าชั่วโมงนี้ ในเวทียุโรป พวกสเปน คือตัวโหดของแท้เลยก็ว่าได้ บรรยากาศ บรรยากาศและแพสชั่นของแฟนบอลถือเป็นส่วนที่บ่งบอกถึงความน่าสนใจของเกมๆ ลูกหนังได้เป็นอย่างดี และถ้าวัดกันจริงๆ บรรยากาศในสนามระดับประวัติศาสตร์อย่าง แอนฟิลด์ หรือ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้ที่ คัมป์ นู หรือ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เลยทีเดียว แต่สิ่งที่บ่งบอกว่าบรรยากาศใน พรีเมียร์ลีก ดูดีกว่า ลา ลีกา ก็คงเป็นความใส่ใจในเกมเล็กๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นทีมอย่าง เบิร์นลี่ย์ หรือ สโต๊ค ซิตี้ ยามที่มีโปรแกรมลงเตะเหล่าบรรดาสาวกแฟนบอลก็มักจะเข้ามาชมเกมเกือบเต็มความจุสนาม โดยสถิติตัวเลขบันทึกเอาไว้ว่าค่าเฉลี่ยแฟนบอลเข้าชมสนามของ พรีเมียร์ลีก อยู่ที่ 36,000 คนต่อเกม ส่วน ลา ลีกา นั้นอยู่ที่ 28,000 ต่อเกม การเข้าถึง หากวัดถึงความนิยมและฐานแฟนบอล เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า คือ 2 ทีมที่มีฐานแฟนบอลมากที่สุดในโลก แต่ทว่าในชาร์จ Top 10 ก็มีทีมชาติ อังกฤษ ติดมากมากถึง 4 ทีมไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และ เชลซี เรอัล มาดริด (แฟนบอลโซเชี่ยล : 130 ล้านคน) บาร์เซโลน่า (แฟนบอลโซเชี่ยล : 130 ล้านคน) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (แฟนบอลโซเชี่ยล : 90 ล้านคน) ลิเวอร์พูล (แฟนบอลโซเชี่ยล : 48 ล้านคน) เชลซี (แฟนบอลโซเชี่ยล : 56 ล้านคน) อาร์เซน่อล (แฟนบอลโซเชี่ยล : 44 ล้านคน) นั่นเป็นเหตุผลที่เรายกขึ้นมาเป็นตัววัด แต่สุดท้ายแล้วคุณจะชอบลีกไหนมากกว่า มันก็อยู่ที่ตัวของคุณนั่นล่ะ แต่ให้ดี ก็ดูมันทุกลีกนั่นล่ะ บอลดี ๆ ทั้งนั้นที่รอคุณอยู่  

-HaMuDosSantos-

 
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline