ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์ที่ 4 แข่งจบกันไปหมดเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องผลการแข่งขันทุกท่านก็ทราบกันหมดแล้วเช่นกัน
ดังนั้นวันนี้ทาง 'ขอบสนาม' จะพาทุกท่านไปดูกันว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นมีใครกันบ้างที่สมควรติดทีมยอดเยี่ยมประจำศึก พรีเมียร์ลีกผู้รักษาประตู : โจ ฮาร์ท (เบิร์นลี่ย์)
ถึงแม้ เบิร์นลี่ย์ จะต้องปราชัยคารัง เติร์ฟ มัวร์ ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปถึง 0-2 แต่ โจ ฮาร์ท ก็ถือมีส่วนอย่างมากในการเซฟลูกสำคัญๆ เพราะมิฉะนั้น เบิร์นลี่ย์ อาจจะเละกว่านี้ก็เป็นได้ โดยพี่เซฟได้ถึง 7 ครั้งในเกมนี้ รวมถึงช็อตเซฟจุดโทษ ปอล ป็อกบา ด้วย ทำให้เขามีโอกาสการเซฟมากกว่านายทวารทุกคนในสัปดาห์นี้STYLE: Footballer ⚽ #JoeHart kickin' it with @KevinHart4real wearing #OffWhite t-shirt, #Amiri bandana insert jeans and #Fillingpieces "Cane Ghost" sneakers. pic.twitter.com/chfGwT5J6L
— More Than Stats (@MoreThan_Stats) September 2, 2018
แบ็กขวา : ไคล์ วอล์คเกอร์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
แบ็มจอมบุกของ แมนฯ ซิตี้ ทำหน้าที่ได้ตามมาตรฐานของตัวเองทั้งการเติมเกมบุกและลงมาช่วยเกมรับ แต่ที่สำคัญคือ ไคล์ วอล์คเกอร์ สามารถเปิดซิงประตูแรกให้ตัวเองได้แล้วในสีเสื้อ 'เรือใบสีฟ้า' ในรอบ 52 เกม และก็มีส่วนสำคัญอย่างมากที่พาต้นสังกัดชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-1What a feeling! pic.twitter.com/5RDRPJSJJT
— Kyle Walker (@kylewalker2) September 1, 2018
เซ็นเตอร์แบ็ก 1 : โจ โกเมซ (ลิเวอร์พูล)
โจ โกเมซ ฉายแววได้โดดเด่นสุดๆ กับการเฝ้าหลังบ้านให้ ลิเวอร์พูล เพราะตลอด 3 เกมที่ผ่านมาการมีเขาอยู่ทำให้ทีมไม่เสียประตูเลยสักลูก เช่นเดียวกับเกมที่เจอ เลสเตอร์ ซิตี้ ถ้า อลิสซอน ไม่เล่นท่าจนเสียประตูโง่ๆ ลิเวอร์พูล ก็คงจะเก็บคลีนชีทได้ต่อไป สำหรับสถิติของ โจ โกเมซ ในกมกับ เลสเตอร์ คือเป็นผู้เล่นที่ขัดขวางและสกัดกั้นศัตรูได้มากที่สุดในสนาม อีกทั้งยังชนะในการปะทะภาคพื้นดินและลูกกลางอากาศแบบ 100 เปอร์เซนต์อีกด้วยImportant 3 points at a tough place to come. Travelling support kept us going #LFC? pic.twitter.com/eDXc56xGFr
— Joe Gomez (@J_Gomez97) September 1, 2018
เซ็นเตอร์แบ็ก 2 : เครก เคธคาร์ท (วัตฟอร์ด)
ถึงจะเป็นผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กแต่ เครก เคธคาร์ท คือผู้ปลิดชีพพา วัตฟอร์ด โค่น ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ลงได้ด้วยสกอร์ 2-1 หลังเป็นคนทำประตูชัยในนาที 76 และนั่นคือประตูที่ 5 ของเขาใน พรีเมียร์ลีก ที่เกิดขึ้นที่ วิคาเรจ โร้ด แต่ที่สำคัญคือ 5 ประตูของพี่แกมาจากลูกตั้งเตะทั้งหมด (เตะมุม 3, ฟรีคิก 2)? | Craig Cathcart deals with the threat of Harry Kane.#watfordfc #WATTOT [0-0]
— Watford Football Club (@WatfordFC) September 2, 2018
Listen live ⤵️https://t.co/GtJifEzTES pic.twitter.com/PpWWcK0FYX
แบ็กซ้าย : โฮเซ่ โฮเลบาส (วัตฟอร์ด)
อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่พา วัตฟอร์ด ตบ สปอร์ส ร่วง 2-1 ก็มาจาก โฮเซ่ โฮเลบาส เพราะเขาทำไป 2 แอสซิสต์ในเกมดังกล่าว ส่งผลให้ฤดูกาลพี่แกมีส่วนร่วมกับประตูที่ วัตฟอร์ด ทำไปแล้วถึง 5 ลูก (ยิง 1 แอสซิสต์ 4) มากกว่าผู้เล่นทุกคนในการแข่งขัน?
— Watford Football Club (@WatfordFC) May 15, 2017
Jose Holebas clears for #watfordfc under pressure from @ChelseaFC's Michy Batshhuayi.
? pic.twitter.com/g9CjSsLqQU
กองกลาง 1 : ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก (เซาธ์แฮมป์ตัน)
ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก เป็นผู้ยิงประตูดับฝันพา เซาธ์แฮมป์ตัน บุกชนะ คริสตัล พาเลซ 2-0 แต่สถิติที่น่าสนใจของเขามากกว่านั้นก็คือเป็นผู้เล่น เซาธ์แฮมป์ตัน ที่มีโอกาสยิงตรงกรอบ 2 ครั้งและผ่านบอลสำเร็จในพื้นที่อันตรายได้มากที่สุดที่ 15 ครั้งด้วยกัน#Ings and #Hojbjerg seal Saints win. I didn't think Ings would be a good signing for Palace. Now I'm having second thoughts. #Benteke is just not good enough!#CPFC https://t.co/LX0NgIknz7 via https://t.co/dcN2r3WZap
— Excelsior! ⚽ ? (@PhilPlanter) September 2, 2018
กองกลาง 2 : ดาบิด ซิลวา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
ไม่มีผู้เล่นคนใดที่มีโอกาสยิงประตูมากกว่า ดาบิด ซิลบา ในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-1 ที่ 4 ครั้งทั้งที่พี่แกก็ไม่ใช่กองหน้าด้วยThank you for all the support throughout the season. Time to enjoy the night, #CHAMPIONS18 ??? pic.twitter.com/WzXEr61kEQ
— David Silva (@21LVA) May 6, 2018
กองกลาง 3 : เจา มูตินโญ่ (วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส)
เจา มูตินโญ่ เป็นผู้เล่นที่มีโอกาสผ่านบอลสำเร็จสูงสุดในพื้นที่อันตรายที่ 18 ครั้งในเกมที่ชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-0 ไม่มีใครทำได้มากกว่าเขา นอกจากนี้ มูตินโญ่ ยังเป็นผู้เล่นที่สร้างสรรค์โอกาสการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมได้มากที่สุดอีกด้วยที่ 3 ครั้งด้วยกัน⚽️? @WolvesPRT pic.twitter.com/ab9bVeqthz
— João Moutinho (@JoaoMoutinho) August 22, 2018
ปีกขวา : ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
นับวันยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้อยู่ในความดูแลของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และในเกมที่ แมนฯ ซิตี้ ชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-1 ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็ซัดไป 1 ตุง พร้อมกับทำให้ตอนนี้พี่แกมีส่วนร่วมกับประตูที่ ซิตี้ ทำได้ ถึง 31 ลูก (ยิง 20 จ่าย 11) ถ้านับตั้งแต่เปิดฉากฤดูกาลที่แล้ว เป็นรองแค่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ 45 ประตู และ แฮร์รี่ เคน 35 ประตู+3 points great win and buzzing for @kylewalker2, what a goal!!!! pic.twitter.com/YoYcsugrr4
— Raheem Sterling (@sterling7) September 1, 2018
ปีกซ้าย : เอแด็น อาซาร์ (เชลซี)
เอแด็น อาซาร์ ผู้เบอร์ 1 ของ เชลซี ยิงได้ 1 ประตูในเกมที่ชนะ บอร์นมัธ 2-0 ส่วนเรื่องการทำเกมเดินเกมนี่หายห่วง เพราะนี่คือหัวใจสำคัญในเกมบุกของทีมอยู่แล้ว อาซาร์ สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนร่วมทีมไปถึง 5 ครั้งในเกมนั้น ซึ่งมากกว่าผู้เล่นทุกคนที่ทำให้ในสัปดาห์นี้Happy to become part of the SOC family! Enjoying my first shoot with @allsportschain https://t.co/sYorIcXTeP pic.twitter.com/SbmTuCAJ2x
— Eden Hazard (@hazardeden10) May 17, 2018
กองหน้า : โรเมลู ลูกากู (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
เกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ถือว่า โรเมลู ลูกากู มีส่วนร่วมเยอะและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของตัวเอง และซัดไปได้ถึง 2 ประตู ซึ่งเกมแรกที่เขาลงเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปีก่อนก็ทำได้ถึง 2 ประตูเช่นกันตอนเจอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และกดไป 4-0 จริงๆ เกมนี้มีโอกาสทำแฮตทริกด้วยจากจุดโทษ แต่ ปอล ป็อกบา ไม่ยอมให้ พอยิงเองก็ยิงไม่เข้าด้วย10th season has officially started #ChapterX pic.twitter.com/HDf3uMxLt9
— R.Lukaku Bolingoli9 (@RomeluLukaku9) August 4, 2018