logo-heading

"ยักษ์หลับ" นี่คือวลีที่เมื่อนำมาใช้กับโลกของลูกหนังจะหมายถึงเหล่ายอดทีมในอดีตที่กวาดแชมป์เป็นว่าเล่น แต่ทว่ากับในยุคปัจจุบันพวกเขากลับไม่ประสบความสำเร็จเหมือนแต่ อะไรๆ ที่เคยทำได้มันไม่ได้เหมือนเมื่อครั้งอดีตอีกแล้ว 

แน่นอนถ้าจะพูดถึง "ยักษ์หลับ" หนึ่งในสโมสรที่มักแล่นเข้ามาในหัวก่อนใครเลยคือ เอซี มิลาน ทัพ "ปีศาจแดง-ดำ" ถือว่าเป็นมหาอำนาจลูกหนังในอิตาลีอย่างแท้จริงโดยเฉพาะในยุค 90 ที่พวกเขาคว้าแชมป์มาเชยชมได้อย่างมากมายทั้งศึกกัลโช่ เซเรีย อา รวมไปถึงในศึก แชมเปี้ยนส์ ที่ครองความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าความยิ่งใหญ่ในอดีตจะเริ่มเลือนรางหายไปเรื่อยๆ จากโทรฟี่แชมป์ที่ได้สัมผัสในทุกๆ ขวบปี กลายเป็นมือเปล่า ไร้ความสำเร็จ ลดบทบาทตัวเองกลายมาเป็นเพียงทีมกลางๆ ตารางเท่านั้นโดยเฉพาะในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา นับตั้งแต่คว้าแชมป์ลีกครั้งล่าสุดเมื่อซีซั่น 2010-11 จากแชมป์ลีกครั้งล่าสุดนั้นดูเหมือนพวกเขาจะค่อยๆ ไต่ระดับลงมาเรื่อยๆ จากตำแหน่งสูงสุด สู่อันดับ 2, 3, 8 และเคยร่วงหล่นไปไกลถึงอันดับ 10 มาแล้วเมื่อฤดูกาล 2014-15 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยคุ้นชินสำหรับแฟนบอล "รอสโซเนรี่" มากเท่าไหร่นัก ซึ่งในช่วงยุคมืดมิดของพวกเขามันเกิดปัญหาหลายๆ อย่างเข้ามารุมเร้าโดยเฉพาะเรื่องของเงินๆ ทองๆ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งกุนซือเป็นว่าเล่นจาก แม็กซ์ อัลเลกรี ที่คุมทีมระหว่างปี 2010-2014 พวกเขาก็ปรับเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ตรงนี้มาแล้วมากถึง 9 คน ที่พอจะพูดแล้วคุ้นหูก็อย่างเช่น คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, ฟิลิปโป้ อินซากี้, วินเซนโช่ มอนเตลล่า หรือ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ซึ่งจากรายนามข้างต้นจะสังเกตุได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนต่างเป็นศิษย์เก่าของทีมแทบทั้งนั้น ก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนมาอยู่ในมือของ สเตฟา ปิโอลี่ ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนทีมช่วงปี 2019 และนั้นกลายเป็นจุดพลิกผันชะตาของทีมให้ดูดี และพัฒนาก้าวไปข้างหน้าให้แฟนบอลสามารถฝากความคาดหวังเอาไว้ได้ ตกรอบแบบได้ใจ : เอซี มิลาน กับการคัมแบ็ค ชปล. ในรอบ 8 ปี จากเดิมที่ไม่ได้แม้แต่จะได้ลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ลีก ปิโอลี่ ใช้เวลาเพียง 2 ปี เท่านั้นในการปรับเปลี่ยนจนทำให้ปีศาจตนนี้กลับมายืนในพื้นที่ที่คู่ควรอีกครั้ง ภายหลังพาทีมจบรองแชมป์ เซเรีย อา เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งนี่คือการคัมแบ็คสู่รายการใหญ่ของยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี หรือนับตั้งแต่ซีซั่น 2013-14 ที่ในปีนั้นทีมก็ไปได้ไกลเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น ซึ่ง มิลาน ชุดนี้ต้องยอมรับฝีมือของ ปิโอลี่ ที่ผสมผสานเหล่าแข้งดาวรุ่งของทีม กับวัยเก๋าให้ออกมามีรสชาติกลมกล่อมมากเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น ซานโดร โตนาลี่, บราฮม ดิอ๊าซ, อเล็กซิส ซาเลอมาเกิร์ส หรือ ราฟเอล เลเอา มาจัดทัพร่วมกับพวกประสบการณ์สูงอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ หรือ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ ฉะนั้นแล้วนี่คือการต่อยอดจากเมื่อซีซั่นก่อนไม่แปลกที่ มิลาน ในตอนนี้จะนำเป็นจ่าฝูงของศึกกัลโซ่ เซเรีย อา พร้อมผลงานที่ยอดเยี่ยม จนต้องโค้งหัวคารวะ วกกลับมาที่ศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ของพวกเขา ต้องยอมรับพลันที่ผลการจับฉลากออกมาถือว่าน่าเป็นห่วงปีศาจตนนี้มากเหลือเกินเพราะดันต้องมาอยู่กลุ่มแห่งความตายร่วมกับ ลิเวอร์พูล, แอต.มาดริด และ ปอร์โต้ ว่ากันตามชื่อชั้น และประสบการณ์ มิลาน ทีมนี้เป็นรองทุกทีมร่วมกลุ่มไม่เว้นแม้กระทั่ง ปอร์โต้ ถ้าถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ก็อยากให้ย้อนไปดูที่ขุมกำลังของพวกเขาที่ส่วนใหญ่ต่างยังคงเป็นวัยรุ่น และกำลังเติบโต ส่วนประสบการณ์ในเวทีระดับสูงก็ไม่ได้มีมากมายนัก แม้จะมีรุ่นพี่คอยประคอง แต่ทว่าด้วยความที่ฟุตบอลเล่นเป็นทีม ยังไงเสียองค์ประกอบโดยรวมก็ย่อมเป็นรอง และยิ่งต้องมาดวลกับ "หงส์แดง" และ "ตราหมี" งานหนักจึงอยู่แบกใส่บ่าของ ปิโอลี่ เข้าแบบเต็มๆ และก็เป็นไปตามคาด 3 เกมแรกออกสตาร์ทพร้อมมี 0 คะแนนอยู่ในกระเป๋า นอนนิ่งแช่บ๊วยของกลุ่มชนิดที่ใครผ่านมาเห็นก็คงนึกว่าตายไปแล้ว แต่ทว่าจะด้วยพลังแฝง หรือความทุ่มเทอะไรก็ตามแต่ การเปิดบ้านเสมอ ปอร์โต้ และบุกไปเอาชนะ แอต.มาดริด ได้นั้นเหมือนทำให้พวกเขากลับมามีลมหายใจ และความหวังในการผ่านเข้ารอบต่อไปทันที เงื่อนไขง่ายๆ ในเกมสุดท้ายคือพวกเขาต้องเปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล ให้ได้สถานเดียว และค่อยไปลุ้นผลอีกคู่ แน่นอนคู่แข่งตรงหน้ากำลังบ้าเลือดเกมรุกดุดัน และชนะมา 5 เกมรวด ว่ากันตามตรงยากนักที่พวกเขาจะรอดออกมา ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ มิลาน จะเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน แต่ทว่าก็ไม่อาจต้านแรงพายุของทัพ "หงส์แเดง" ได้ จบ 6 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม "ปีศาจแดง-ดำ" จบที่อันดับสุดท้าย  ตกรอบแบบได้ใจ : เอซี มิลาน กับการคัมแบ็ค ชปล. ในรอบ 8 ปี ถามว่าผิดหวังไหมน่ะหรอ? ทุกๆ การตกรอบไม่ว่าจะในถ้วย หรือรายการใดทันย่อมมีความผิดหวังเข้ามาเกาะกินอยู่แล้ว  แต่ถ้าถามว่าแฟนบอลของพวกเขาจะตะโกนด่านักเตะในสนามไหมน่ะหรอ? ไม่มีทาง เพราะสิ่งที่นักเตะแสดงออกมานั้นมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทุกคนใส่ความพยายามไปแบบเต็มแรงถีบ และแฟนบอลควรจะภูมิใจด้วยซ้ำที่ทีมได้มีโอกาสสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายของเกม สุดท้ายการตกรอบในครั้งนี้มันคงมีอะไรมากกว่าความผิดหวังที่ต้องเผชิญ แต่นั้นมันคือประสบการณ์กองโตที่จะช่วยให้เด็กๆ ในทีมแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในแบบที่ ปิโอลี่ ได้ให้สัมภาษณ์หลังจบเกม  "ฟุตบอลระดับนี้กับทีมที่ยังไม่มีประสบการณ์ เราได้เห็นแล้วว่าคู่แข่งในเกมยุโรปเป็นแบบไหน มันต้องมีทั้งคุณภาพ และสมาธิ ซึ่งเรื่องนี้เราจะได้เรียนรู แน่นอนว่าการที่เราได้เล่นเกมฟุตบอลยุโรปแบบต่อเนื่องคือเป้าหมายของพวกเรา  และเราจะพยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ และเติบโตกันต่อไป" บทสรุปแม้จะเก็บชัยชนะได้เพียงนัดเดียว, แม้จะมีเพียง 4 คะแนน จากการลงเล่น 6 นัด, แม้จะยิงได้เพียง 6 ประตู แต่อย่างน้อยมันคือการปูทางเพื่ออนาคตที่สวยงาม พร้อมป่าวประกาศว่า "ยักษ์หลับ" ตนนี้เริ่มขยับขยาย และส่งสัญญาณถึงการกลับมาทวงบัลลังก์ที่เคยยืน ยินดีมากๆ ที่พวกนายกลับมาอีกครั้ง และหวังว่าครั้งหน้าเราจะได้เห็น "ปีศาจแดง-ดำ" ที่แข็งแกร่ง และพุ่งทะยานไปได้ไกลมากกว่าเดิม  

- Paolinho -

logoline