logo-heading

เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล มีลุ้นแชมป์ และต้องเบียดแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่แค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้นยังมีทั้ง อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เล็งเป้าคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ด้วยผลงาน ณ ตอนนี้ดีเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าใครพลาดทำแต้มหล่นมีสิทธิ์โดนแซง และจ่าฝูงอาจเปลี่ยนมือได้ทุกสัปดาห์

หากมองผลงาน 12 เกมแรกของ ลิเวอร์พูล ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ดีที่ ลิเวอร์พูล มีโอกาสลุ้นแชมป์แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย วันนี้ขอบสนามจะพาไปดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ ลิเวอร์พูล คว้าเป้าหมายที่ต้องการได้

1. การรักษาชัยชนะต่อเนื่อง

ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งทีมที่มีสถิติเกมในบ้านดีมาก ๆ ต่างจากเกมเยือน ที่นี่แอนฟิลด์ ยังคงมีมนต์ขลัง ลงสนามไป 6 เกม ลิเวอร์พูล เก็บ 3 คะแนนไปได้ทั้ง 6 เกม หาก ลิเวอร์พูล สามารถรักษาชัยชนะเกมในบ้านไม่ทำแต้มหล่นหาย เก็บ 3 คะแนนในบ้านได้อย่างต่อเนื่องนับว่าเป็นเรื่องที่ดี

ในขณะที่เกมนอกบ้าน ลิเวอร์พูล กลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำแต้มหล่นหายไปจากการหลุดเสมอ 3 เกม และแพ้ไป 1 เกม การออกไปเล่นเกมเยือนเป็นเรื่องที่ยาก แต่การไปทำแต้มหล่นในเกมนอกบ้านบ่อย ๆ ไม่ดีเท่าไหร่นัก ส่งผลต่อสภาพจิตใจผู้เล่น และมีแรงกดดันทำให้ขาดความมั่นใจได้ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องรักษามาตรฐานเก็บชัยชนะทั้งในบ้านและนอกบ้านให้ได้แบบระยาวมากที่สุด

นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ต้องรักษามาตรฐานเก็บชัยชนะเหนือทีมที่มีขนาดเล็กและมีผู้เล่นจำกัด แม้ ลิเวอร์พูล จะเก็บชัยชนะกับทีมระดับบิ๊กและระดับท็อป แต่ก็มักจะไปเสียท่าให้กับทีมดิ้นรนหนีตกชั้น จนได้ฉายาว่าทีมโรบินฮู้ด เก็บแต้มทีมใหญ่มาแจกทีมท้ายตาราง แต่หากเป็นทีมใจดีแจกแต้มต่อไป คงไปไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ ดังนั้น ลิเวอร์พูล ต้องเก็บชัยชนะกับทั้งทีมใหญ่ และไม่ใจดีแจกแต้มทีมท้ายตาราง

2. การไม่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บ

ปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะมีผลอย่างมากกับระบบทีมระยะยาว ในช่วง คริสต์มาส บ็อกซิ่งเดย์ เป็นช่วงเวลาเตะถี่จนอาจทำให้ร่างกายนักเตะมีปัญหาหนัก ซึ่งที่ในช่วงนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ต้องประสบกับปัญหาทั้งผู้เล่นบาดเจ็บและโดนแบน ทำให้ต้องมีการหมุนเวียนโรเตชั่นนักเตะอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ดีแต่บางครั้งก็น่าปวดหัว ทั้งเกมรับและเกมแดนกลาง แฟนบอลต้องพึ่งยาดมยาหม่องกันบ่อย ๆ

อย่างไรก็ตามก็ยังฝากความหวังไว้ไม่ได้มากนัก ลิเวอร์พูล เคยผ่านการที่ต้องเปลี่ยนคู่เซ็นเตอร์เพราะปัญหาอาการบาดเจ็บมาแล้ว และประสบการณ์นั้นก็ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องปวดหัวหนักมากทีเดียว ดังนั้นการรักษาสภาพร่างกายนักเตะให้แข็งแรงอยู่เสมอเป็นเรื่องที่ดีที่สุด อาจจะมีการหมุนเวียนฟุตบอลถ้วยในเกมที่พอจะไปได้บ้างบางเวลา แต่ในเกมลีก 11 ตัวจริงต้องยืนระยะมากที่สุด

เชื่อว่าแฟน หงส์แดง คงนึกไม่ออกว่าหากขาด โซโบสไล ในแดนกลางไป กลาง ลิเวอร์พูล จะเป็นอย่างไร ขาดได้แต่ขาดแล้วขาดใจ ดังนั้นต้องภาวนาเอาใจช่วยนักเตะไม่บาดเจ็บมากที่สุด โดยเฉพาะระหว่างการรับใช้เกมชาติ และต้องภาวนาให้นักเตะยืนระยะได้ในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ กับโปรแกรมถี่ยิบ

3. การเสริมทัพตลาดมกราคม

ตลาดมกราคมปีนี้เป็นที่น่าจับตามอง ลิเวอร์พูล ยังคงมีปัญหาอยากเสริมผู้เล่นในตำแหน่งกลางรับ เพื่อให้ทีมมีระบบที่สมบูรณ์มากที่สุด และทำให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้ยืนในตำแหน่งที่กลางที่เขาถนัดมากกว่านี้ เพิ่มประสิทธิภาพในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ได้มากขึ้น หากการเข้ามาของ วาตารุ เอ็นโด ยังไม่ตอบโจทย์ ช่วงตลาดมกราคมก็เป็นช่วงที่ ลิเวอร์พูล ต้องใช้เงินแก้ปัญหาเสริมทัพนักเตะ

จริงอยู่ที่ว่าการเสริมทัพนักเตะช่วงตลาดหน้าหนาวไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ต้องยอมจ่ายแพงเท่านั้นถึงจะได้ แต่การใช้เงินแก้ปัญหาอาจจะทำให้ ลิเวอร์พูล แข็งแกร่งกว่าเดิม สามารถต่อกรกับคู่แข่งได้ เพราะคู่แข่งเองก็มีปัญหา และพร้อมใช้เงินแก้ปัญหาเช่นเดียวกัน

4. แนวรุกต้องใช้โอกาสไม่เปลือง

ช่วงที่ผ่านมาเกมบุกของ ลิเวอร์พูล จบสกอร์ไม่ได้เพราะการใช้โอกาสเปลือง โดยเฉพาะ ดาร์วิน นูนเญซ หากไม่ใช้โอกาสเปลือง เขาคงทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ได้มากกว่านี้ นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องเจออีกปัญหาใหญ่ในช่วงต้นปี คือการที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต้องไปรับใช้ชาติในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2023 ระหว่างวันที่ 13 มกราคม ถึง 11 กุมภาพันธ์ 2024 ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควร

ฤดูกาลนี้ โม ซาลาห์ ทั้งยิงและจ่าย และเป็นดาวซัลโว ทำไปแล้ว 10 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์ ในเกม พรีเมียร์ลีก เขามีส่วนสำคัญในเกมรุกอย่างมาก หาก อียิปต์ เข้าถึงรอบลึกจะทำให้กลับมาช่วยทีมได้ช้าลง ซึ่งช่วงนั้น ลิเวอร์พูล มีงานหนักทั้งเกม พบ เชลซี และเกมเยือน อาร์เซน่อล ซึ่งคงต้องฝากความหวังไว้กับแนวรุกที่เหลืออยู่ ใช้โอกาสไม่เปลือง และทดแทนการขาดหายไปของ โม ซาลาห์ ได้ในช่วงเวลานั้น

5. ผลงานของคู่แข่ง

แม้ ลิเวอร์พูล จะทำได้ดีขนาดไหน แต่หากคู่แข่งก็ทำได้ดีไม่มีสะดุดก็ทำให้ไปไม่ถึงฝัน นอกเหนือจากผลงานของ ลิเวอร์พูล ก็ต้องมาดูผลงานของคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ รวมถึงประมาท แอสตัน วิลล่า ที่ผลงานกำลังดีไม่ได้อีกด้วย หากพวกเขาไม่สะดุดเหมือนกันก็ไม่มีประโยชน์

สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเดียวที่ไม่ต้องกังวลกับการเสียนักเตะตัวหลักไปรับใช้ชาติในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2023 ซึ่งทั้ง ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ต้องเจอกับปัญหานักเตะตัวหลักไปรับใช้ชาติช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา แม้พวกเขามีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดการกับปัญหาดังกล่าวได้จนทำให้พวกเขารั้งจ่าฝูงตารางคะแนนในปัจจุบัน และยิ่งการไม่ต้องกังวลกับปัญหาในเรื่องนักเตะแอฟริกันรับใช้ชาติ ยิ่งทำให้พวกเขาสบายใจมากยิ่งขึ้น

6. ผู้จัดการทีมที่ชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์

เจอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีมเข้าสู่ปีที่ 8 เรียบร้อยแล้ว โดยครบรอบ 8 ปีไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเป็นช่วงเวลาที่เหล่า เดอะ ค็อป ได้มีความสุขและได้มีโอกาสลุ้นกับเกือบทุกปี แม้จะมีว้าวุ่นบ้างบางฤดูกาล มีเครียดจนอยากปิดไฟนอนบ้างบางเกม แต่แฟน ลิเวอร์พูล ก็อุ่นใจหาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังนำทัพอยู่ ลิเวอร์พูล ก็ยังมีโอกาสให้ได้ลุ้นในทุกปี

ฤดูกาลนี้ยังคงท้าทายและยากยิ่งขึ้นในการที่จะทำให้ได้ดีกว่าปีที่แล้ว เชื่อว่าด้วยทีมงานและวิธีทำงานแบบ คล็อปป์ ทุกย่างยังมีความเป็นไปได้เสมอ ฤดูกาลยังอีกยาวไกล

ยังเดินทางไม่ถึงการแข่งขันครึ่งฤดูกาล การจะมองหาว่าใครเป็นแชมป์ตอนนี้คงเป็นการตัดสินใจเร็วเกินไป ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่บทวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ใช่การเจิมหรือมั่นใจว่า ลิเวอร์พูล ต้องได้แชมป์

สุดท้ายแล้วผลงานในสนามเป็นตัวตัดสินเองว่า ลิเวอร์พูล จะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ การเก็บชัยชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงหลังฟีฟ่า เดย์ นอกจากมีจ่าฝูงเป็นเดิมพันแล้ว อาจจะเป็นการตัดสินแชมป์เลยก็เป็นได้ แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้แน่นอน คือเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ต้องเป็นอีกหนึ่งเกมสุดมันส์ เกมมาสเตอร์พีซ ของฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline