logo-heading

หลังเกม นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ ! ปืนใหญ่ บุกมาเฉือน ไก่เดือยทอง 3-2

ไม่ว่าฟอร์มของทั้งคู่จะแตกต่างกันสักแค่ไหน แต่ถ้าสองทีมแห่ง ลอนดอนเหนือ อย่าง อาร์เซน่อล และสเปอร์ส ได้โคจรมาพบกันแล้ว การันตีได้เลยว่าเดือดทุกนัดอย่างแน่นอน

แต่วันนี้เป็นทางฝั่ง อาร์เซน่อล ที่ทำได้ดีกว่าแม้จะมีเสียวบ้างในช่วงท้ายเกม แต่ด้วยความเก๋าประสบการณ์มากขึ้น ทำให้พวกเขาเก็บ 3 แต้มสำคัญ และยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ต่อไป

เอาเป็นว่าประเด็นหลังเกมจะมะอะไรให้พูดถึงบ้าง มาติดตามรับชมได้เลยครับ

[ อาร์เตต้า วางแผนมาดี ]

ต้องบอกว่าเกมนี้ มิเกล อาร์เตต้า วางแผนมาดีมากๆ เน้นรัดกุมรอโต้กลับเป็นหลัก โดยจะใช้ปีกทั้งสองข้างที่มีความเร็ว และความคล่องตัวมาเล่นงามอยู่รับของ สเปอร์ส เพราะอย่างที่รู้กันว่าเกมในบ้านของ พลพรรคไก่เดือยทอง พวกเขาจะมาบุกแหลกเป็นแน่ตามสไตล์ของ อังเก้ ปอสเตโคกลู

และทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่วางแผนไว้ สเปอร์ส เริ่มต้นมาเป็นทางฝั่ง สเปอร์ส ที่ครองบอลบุกใส่อย่างต่อเนื่อง โดยใช้แบ็คทั้งสองข้างเล่นในรูปแบบของ อินเวิร์ด ฟูลแบ็ค หุบเข้ากลางทำให้เกมแดนกลางของ สเปอร์ส มีผู้เล่นมากกว่า 

แต่วิธีการเล่นในรูปแบบนี้ก็เป็นดาบสองคมเช่นเดียวกัน เพราะจังหวะทรานซิสชั่นที่เปลี่ยนจากเกมรุกมาเป็นเกมรับ แบ็คทั้งสองข้างของ สเปอร์ส ที่หุบเข้ากลาง จะกลับตำแหน่งด้านข้างไม่ทันทำให้บริเวณพื้นที่ทางริมเส้นเป็นจุดอ่อนให้ อาร์เซน่อล โจมตี

พอเห็นแบบนั้นแล้ว มิเกล อาร์เตต้า จึงใช้วิธีการโจมตีทางริมเส้นเป็นหลัก ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะประตูที่ขึ้นนำ 2-0 จาก บูกาโย่ ซาก้า ก็ได้มาในรูปแบบการเล่นโต้กลับจากทางริมเส้นเช่นกัน

[ ลูกตั้งเตะยังเป็นทีเด็ดเสมอ ]

นอกจากวิธีการเล่นจะได้ผลแล้ว ไผ่ตายจากลูกเซตพีสก็กลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง เพราะประตูแรกกับประตูที่สามได้มาจากจังหวะลูกเตะมุมทั้งสองประตู

เครดิตทั้งหมดคงต้องยกให้กับ นิโคลัส โจเวอร์ ที่เข้าเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นลูกตั้งเตะของ อาร์เซน่อล ให้มีความหลากหลาย และเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ จากเดิมเตะมุมทีไรที่แทบไม่ได้ลุ้น กลับกลายมาเป็นอีกหนึ่งไผ่ตายสำคัญของทีม

ด้วยสองประตูจากลูกเตะมุมในเกมวันนี้ อาร์เซน่อล ก็ยังครองสถิติการทำประตูจากลูกตั้งเตะไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยทำไปแล้วถึง 16 ประตู มากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ เทียบเท่ากับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่เคยทำไว้ที่ 16 ประตูเช่นเดียวกับ เมื่อฤดูกาล 2016/17

[ พลาดง่ายๆอีกแล้ว ]

จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ที่นำห่างถึง 3 ประตู แน่นอนว่าแฟนปืนหลายท่านต่างพากันโล่งใจ และคิดว่าจะเก็บ 3 แต้มได้แบบไม่ระบมหัวแม่ตีนแน่ๆ 

แต่นี่ไหนได้เพราะนี่คือ นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตซ์ ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะจู่ๆ ดาบิด ราย่า ได้เปิดบอลพลาดเหมือนสองจิตสองใจทำให้ไปเข้าทาง คริสเตียน โรเมโร่ ซัดประตูตีไข่แตกเข้าไป

เท่านั้นแหละครับเหมือนได้ปลุกวิญญาณไก่ให้ตื่นขึ้นจากหลุมอีกครั้ง เพราะหลังจากนั้น สเปอร์ส ได้ดราหน้าบุกเข้าใส่แบบเต็มอัตราศึก ด้วยความเร็ว 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จนกระทั่งในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม เดแคลน ไรซ์ ได้เตะเข้าไปเต็มกล่องดวงใจของ เบน เดวีส์ ตอนแรกเหมือนกรรมการจะไม่ให้ แต่พอได้ดู VAR แล้วก็เรียบแล้วสิครับ เต็มสองใบซะขนาดนั้น แล้วก็เป็น ซน เฮือง-มิน มาสังหารเข้าไป

ส่วนช่วงเวลาที่เหลือเป็นทางฝั่ง สเปอร์ส ที่โหมบุกใส่อยู่ข้างเดียว แต่ก็ทำอะไรเพิ่มไม่ได้ จบเกม ไอ้ปืนใหญ่ คว้า 3 แต้มสำคัญกลับบ้านได้สำเร็จ และเป็นคร้้งแรกในรอบ 36 ปีที่ อาร์เซน่อล สามารถคว้าชัยในบ้านของ สเปอร์ส ได้สองเกมติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 1988 เลยทีเดียว

[ อีกหนึ่งเกมที่น่าจดจำของ ซาก้า ]

อีกหนึ่งนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างไฉไลเป็นบ้าในเกมนี้คงหนีไม้พ้น บูกาโย่ ซาก้า สตาร์บอยแห่งทัพปืนโต ทั้งลากเลี้ยงกินตัว ป่วนแนวแนวรับของ สเปอร์ส ได้แทบทุกครั้งที่สัมผัสบอล แถมยังยิงประตูได้อีกต่างหาก และยังเป็นประตูที่ 15 ของเจ้าตัวใน พรีเมียร์ลีก แซงหน้า สถิติเดิมที่ 14 ประตูที่เคยทำไว้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

นอกจากนั้น ซาก้า ยังเป็นนักเตะชาวอังกฤษคนแรกที่ทำได้ 15 ประตูนับตั้งแต่ เอียน ไรท์ เมื่อฤดูกาล 1996/97 

เท่านั้นไม่พอ ซาก้า ยังเป็นนักเตะชาวอังกฤษคนแรกที่ยิง สเปอร์ส ไปกลับนับตั้งแต่ เอียน ไรท์ คนเดิมเมื่อปี 1993/94 เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆสำหรับ ซาก้า

[ 3 เกมสุดท้าย ]

หลังจากจบแมตซ์นี้ทำให้ อาร์เซน่อล นำ แมนฯ ซิตี้ อยู่ 1 คะแนน แต่ แมนฯ ซิตี้ แข่งน้อยกว่าอยู่ 1 นัด ทำให้ทางฝั่ง เรือใบสีฟ้า ยังคงกุมชะตาแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไว้อยู่ในมือตัวเอง หลังจากที่บุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ได้ 2-0

เท่ากับว่าเกมในมือของ อาร์เซน่อล จะเหลือเพียงแค่ 3 เกมเท่านั้น และที่สำคัญต้องคว้าชัยให้ได้ทุกเกมเพียงสถานเดียว และต้องลุ้นให้ แมนฯ ซิตี้ สะดุดแพ้ หรือเสมอ 1 เกมพวกเขาถึงมีโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในรอบ 20 ปี 

แต่ถ้าหาก แมนฯ ซิตี้ สามารถเก็บชัยทั้งหมด 4 เกมที่เหลือ พวกเขาก็คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

-บีเบลล์ กูนเนอร์-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline