[ สภาพทีม แมนยู โคตรพิการ ]
หากมาดูรายชื่อ 11 ตัวจริงและตัวสำรองของฝั่งเจ้าบ้าน แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าสภาพทีมโคตรพิการ โดยเฉพาะแผงเกมรับต้องใช้ กาเซมิโร่ มายืนคู่กับ จอนนี่ อีแวนส์ ซึ่งสภาพของทั้งคู่อยู่ในบั้นปลายอาชีพแล้ว
ยิ่งต้องมาดวลกับนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง และมีความเร็วอย่าง บูกาโย่ ซาก้า, เลอันโดร ทรอสซาร์, มาร์ติน โอเดการ์ด ด้วยสภาพทีมเช่นนี้ใครเห็นก็ต้องบอกว่ารอดยากเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้น แมนยู ยังขาดนักเตะที่สำคัญที่สุดในทีม อย่างกัปตัน บรูโน่ แฟร์นานเดส ที่เปรียบเสมือนผู้บัญชาการในแนวรุกของ ทัพปีศาจแดง ที่มีส่วนร่วมกับประตูไปแล้วถึง 26 ลูกด้วยกัน จากการลงสนามทั้งหมด 45 เกมรวมทุกรายการ สถิติดังกล่าวบ่งบอกชัดเจนเลยว่า บรูโน่ มีความสำคัญกับ แมนยู ขนาดไหน
ส่วนทางฝั่งทีมเยือนอย่าง อาร์เซน่อล ต้องบอกว่า มิเกล อาร์เตต้า จัดขบวนทัพมาแบบเต็มอัตราศึก พร้อมที่จะทะลวงตาข่าย แมนยู แบบไม่เหลือซาก หลังจากที่มาเยือนในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทีไรต้องพบกับความพ่ายแพ้ทุกที โดยที่ 16 นัดหลังสุด ไอ้ปืนใหญ่ สามารถเก็บชัยที่ โรงละครแห่งความฝัน ได้เพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น
[ เล่นดีกว่าที่คิด ]
แม้สภาพทีมจัดเข้าขั้นพิการ แต่ด้วยความที่เล่นในบ้าน อ้อมล้อมไปด้วยเสียงเชียร์ที่ดังกึกก้องใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด บวกกับไม่มีอะไรจะเสียแพ้ คริสตัล พาเลซ เกมที่แล้วมา 4-0 เกมนี้มาแพ้ทีมลุ้นแชมป์อีกนัดมันจะเป็นอะไรไป ผมเชื่อว่าแฟนบอล แมนยู หลายๆท่านอาจคิดเช่นนี้
แต่ในทางกลับกันทางฝั่ง อาร์เซน่อล ต้องบุกมาชนะเพียงสถานเดียวเท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคว้า 3 แต้มกลับบ้านให้ได้ ไม่อย่างงั้นพวกเขาจะถือว่าเป็นการมอบแชมป์สมัยที่ 4 ติดต่อกันให้กับ แมนฯ ซิตี้ ทันที
ด้วยความที่มีอะไรจะเสียทำให้ในช่วง 20 นาทีแรก เราเห็นได้ชัดเลยว่า อาร์เซน่อล ดูจะเกร็งๆ และกดดันอย่างชัดเจน เล่นไม่เป็นธรรมชาติเหมือนนัดที่ผ่านมา แดนกลางจ่ายบอลเสียสะเปะสะปะจนเกือบโดนอยู่หลายครั้ง
ส่วน แมนยู เองวันนี้ต้องบอกว่าเล่นได้ดีกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว การบีบเพรสซิ่งก็ถือว่าทำได้ดี และมีโอกาสจบสกอร์ได้มากกว่าทางฝั่งทีมเยือนด้วยซ้ำในครึ่งแรก แต่ด้วยความเฉียบคมที่ยังเป็นปัญทำให้ไม่สามารถฉกฉวยโอกาสขึ้นนำไปก่อนได้
สิ่งที่ แมนยู ขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัดเลยนั่นก็คือ พวกเขาขาดคุณภาพในพื้นที่สุดท้าย ดูติดๆขัดๆไปหมด หากมีนักเตะอย่าง บรูโน่ อยู่ในสนามเชื่อได้เลยว่า แมนยู จะอันตรายกว่านี้แน่ๆ
นักเตะของ แมนยู ที่ผมอยากพูดถึงในเกมวันนี้คงหนีไม่พ้น อเลฮานโดร การ์นาโช่ ที่นับวันยิ่งเข้าใกล้รุ่นพี่อย่าง แรสฟอร์ด ขึ้นทุกวัน ดูวูบวาบ แต่คุณภาพและการตัดสินใจจังหวะสุดท้าย จัดว่าเข้าขั้นบัดซบเลยทีเดียว จังหวะไหนควรจ่ายดันยิง จังหวะไหนควรยิงดันจ่าย โดยรวมถือว่าเป็นเกมที่น่าผิดหวังพอสมควรสำหรับเจ้าตัว
ส่วน แม็คโทมิเนย์ ที่มารับบทจอมทัพแทน บรูโน่ แฟร์นานเดส ถึงกับถอนหายใจแรง เพราะ แม็คทอม ไม่สามารถสร้างประโยชน์อะไรได้เลย นอกจากวิ่งไปวิ่งมา แปะบอลนิดๆหน่อยๆ แถมยังสวมปลอกแขนกัปตันทีมอีกต่างหาก
ส่วนนักเตะที่ต้องชื่นชมของฝั่ง แมนยู ผมขอยกให้ อาหมัด ดิยัลโล่ เลยครับป่วนแนวรับของ อาร์เซน่อล ได้เยอะมาก เขาควรได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงมากกว่านี้ ต่างจาก อันโตนี่ ที่ได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงหลายครั้ง แต่กลับไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้ทีมได้สักเท่าไหร่ แถมเลี้ยงกินตัวไม่ค่อยผ่าน ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
[ พลาดครั้งเดียวนำไปสู่ความหายนะ ]
อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือจังหวะที่ อาร์เซน่อล ขึ้นนำ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเสียประตูต้องบอกว่าเป็นทางฝั่ง แมนยู ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความที่ กาเซมิโร่ ดูเหมือนกระจิตกระใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ค่อยๆวิ้งจ๊อกกิ้งขึ้นมาแบบช้าๆไม่ได้สนไลน์แนวรับของทีมเลยแม้แต่น้อย
เมื่อ อาร์เซน่อล เห็นแบบนั้น เบน ไวท์ เลยจ่ายมาให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ โดยที่ไม่ล้ำหน้าก่อนที่จะตบเข้ากลางให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ ยิงจ่อๆขึ้นนำ 1-0
การเสียประตูแบบนี้จะโทษใครไปไม่ได้นอกจาก กาเซมิโร่ ที่สติไม่ได้อยู่ในเกม ทำให้ทีมเสียประตูแบบน่าตบกระโหลกเหลือเกิน เรียกได้ว่ารับไปเต็มๆ
[ ซาลิบา ของโคตรดี ]
ส่วนนักเตะที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดในแมตซ์นี้คงหนีไม่พ้น วิลเลี่ยม ซาลิบา ที่โชว์ฟอร์มได้เจิดจรัสดีเหลือเกิน ทั้งจังหวะพาบอลขึ้นหน้า บิ้วอัพเกมจากแดนหลัง รวมไปถึงการแกะเพรสซิ่งของทางฝั่ง แมนยู ถือว่าเจ้าตัวทำได้ดีโคตรๆ
ส่วนหน้าที่ของกองหลังอย่างการเข้าสกัด และการเล่นเกมรับ ถือว่าทำได้ยอดยเยี่ยมแบบไม่มีที่ติ หากใครจำได้จะมีจังหวะที่ การ์นาโช่ เลี้ยงเข้ามาในกรอบเขตโทษ แล้ว ซาลิบา เอาขาสกัดบอลไปต่อหน้าต่อตา ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่โคตรเนียน
ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่เขาจะได้รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตซ์ ในเกมวันนี้ สำหรับ วิลเลี่ยม ซาลิบา
[ สถิติอันย่ำแย่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ ]
ความพ่ายแพ้ในเกมวันนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้เกิดสถิติต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- แพ้ อาร์เซน่อล ไปกลับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 หรือ 18 ปีมาแล้ว
- เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่แพ้ถึง 14 นัด ใน พรีเมียร์ลีก
- เสียทั้งหมด 82 ประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล นับตั้งแต่ปี 1971 หรือ 53 ปีมาแล้ว
- แพ้ทั้งหมด 19 นัดรวมทุกรายการมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล นับตั้งแต่ปี 1978 หรือ 46 ปีมาแล้ว
[ ลุ้นแชมป์ถึงนัดสุดท้าย ]
ส่วนชัยชนะของ อาร์เซน่อล ในวันนี้ส่งผลให้พวกเขาคว้าชัยชนะเป็นนัดที่ 27 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ถือเป็นจำนวนชนะในฤดูกาลเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก อีกทั้งยังทำตามเป้าหมายตัวเองได้สำเร็จ นั่นก็คือการคว้า 3 กลับบ้าน ส่งผลให้อันดับในตารางแซงหน้า แมนฯ ซิตี้ ขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงอีกครั้ง แต่แข่งมากกว่า 1 นัด
โดย แมนฯ ซิตี้ จะมีเกมนัดตกค้างกลางสัปดาห์ที่จะต้องบุกไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทีมคู่ปรับตลอดการของ ไอ้ปืนใหญ่ หาก ทัพเรือใบสีฟ้า สามารถเก็บ 3 แต้มได้พวกเขาก็แทบการันตีคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน เพราะเกมนัดสุดท้ายของ แมนฯ ซิตี้ จะเป็นการเปิดบ้านพบกับ เวสต์แฮม ซึ่งก็น่าจะเก็บ 3 แต้มแบบไม่ยากเย็นอะไร
ส่วน อาร์เซน่อล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเชียร์ทีมคู่อริอย่าง สเปอร์ส ให้ชนะหรือแบ่งแต้มกับ แมนฯ ซิตี้ ให้ได้ เพื่อที่จะต่อยอดไปลุ้นแชมป์ยันเกมสุดท้ายในวันอาทิตย์นี้ ที่จะเตะพร้อมกันทุกคู่
-บีเบลล์ กูนเนอร์-