logo-heading

หลังจากที่เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยสกอร์ 2-0 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 15 ทิ้งห่างจากทีมอื่นๆอยู่มากโขเลยทีเดียว

เท่ากับว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทัพราชันชุดขาว สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ได้ถึง 6 สมัย เทียบเท่ากับประวัติศาสตร์นับร้อยปีของทั้ง 2 สโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค เท่านี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เรอัล มาดริด คือราชาของถ้วยนี้อย่างแท้จริง

UCL สมัยที่ 15 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ เรอัล มาดริด เท่านั้น

แต่ในขณะเดียวกัน เรอัล มาดริด เองก็กำลังเข้าสู่ยุคเปลียนถ่ายนักเตะเหมือนกับหลายๆทีม ไม่ว่าจะเป็น โทนี่ โครส ที่ประกาศแขวนสตั๊ดกับทีมหลังจบฤดูกาลนี้ ไหนจะ ลูก้า โมดริช, ดานี่ การ์บาฆาล และ นาโช เฟร์นานเดซ ที่เป็นแกนหลักของทีมมาโดยตลอดก็อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของอาชีพการค้าแข้ง

ทว่า เรอัล มาดริด ก็ได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว ด้วยการไปเซ็นนักเตะดาวรุ่งระดับท็อปของวงการมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น จู๊ด เบลลิงแฮม, ชูอาเมนี่, กามาวินก้า, อาร์ด้า กูแลร์ และล่าสุดยังได้ คีเลียน เอ็มบัปเป้ มาเสริมคมอีก หากใครมองว่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของ เรอัล มาดริด ต้องบอกว่าคุณคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 15 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพวกเขาเท่านั้น

เอาเป็นว่าวันนี้ ขอบสนาม จะพาไปเจาะลึกถึงเรื่องราวของ เรอัล มาดริด กันครับว่าทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของพวกเขาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน และทิศทางของสโมสรจะเป็นอย่างไร ไปติดตามรับชมกันครับ
 

[ โมเมนต์มหัศจรรย์ ]

โมเมนต์มหัศจรรย์ของ เรอัล มาดริด ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มักเกิดขึ้นกับพวกเขาเสมอ เปรียบเสมือนเป็น DNA ที่ฝักรากลึกลงไปในจิตวิญญาณของนักเตะทุกคน ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยจิตวิญญาณความเป็นผู้ชนะไม่เคยจางหายไปเลยแม้แต่น้อย

เรอัล มาดริด เปิดประเดิมแชมป์แรกในศตวรรษที่ 21 ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จากประตูสุดสวยของ ซีเนอดีน ซีดาน ด้วยการวอลเลย์ด้วยซ้ายบอลพุ่งไปเสียบตาข่ายอย่างดงาม กลายเป็นประตูชัยของทีมเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น ไปด้วยสกอร์ 2-1 และประตูที่ว่า ก็กลายเป็นประตูระดับตำนานที่แฟนบอลต่างจดจำได้เป็นอย่างดี

แต่ทว่าหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว เรอัล มาดริด ก็ได้เข้าสู่ยุคมืดอย่างเต็มตัวโดยเฉพาะในฟุตบอลรายการยุโรป ซึ่งพวกเขาไม่เคยคว้ามันได้อีกเลยนานถึง 12 ปีเต็ม จนกระทั่งการเข้ามาของชายที่ชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เขาได้พา ทัพราชันชุดขาว กลับสู่ยุคเรืองอำนาจอีกครั้ง คว้าแชมป์ UCL ได้ถึง 4 สมัยด้วยกันในยุคของเจ้าตัว

และแต่ละสมัยก็มักจะมีโมเมนต์มหัศจรรย์เกิดขึ้นอยู่เสมอ ในปี 2013/14 ในนัดชิงชนะเลิศพบกับ แอตเลติโก มาดริด โดย ทีมตราหมี ออกนำไปก่อนจาก ดิเอโก้ โกดิน ในท้ายครึ่งแรก และนำยาวจนมาถึงช่วงท้ายเกม

จนกระทั่งมาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 90+4 จากลูกโขกของ รามอส และกลายเป็นปรตูจุดประกายให้ เรอัล มาดริด พลิกกลับมาชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษได้ 4-1 คว้าแชมป์ UCL กลับมาครองได้สำเร็จหลังจากห่างหายไปนานกว่า 12 ปีเต็มๆ

และอีก 2 ปี ต่อมาในปี 2015/16 ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย จากที่บุกไปพ่าย โวล์ฟสบวร์ก 0-2 แต่พวกเขาก็พลิกกลับมาเอาชนะได้ 3-0 ใน ซานติอาโก้ เบร์นาเบว และจบด้วยการเป็นแชมป์ในปีนั้นจากการดวลจุดโทษเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 

 

และในปีต่อมา เรอัล มาริด เหมือนกำลังติดลมพวกเขาเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังอยู่ช่วงฟอร์มกำลังร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยรอบก่อนหน้านี้ ทัพเสือใต้ สามารถเอาชนะ อาร์เซน่อล มาด้วยสกอร์รวม 10-2 แต่ถึงกระนั้นกับ มาดริด มันแตกต่างออกไป ทัพราชันชุดขาว สามารถยัดเยียดความปราชัยได้ทั้งไปและกลับด้วยสกอร์รวมถึง 6-3 

นอกจากนี้ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับ ยูเวนตุส ในฤดูกาล 2017/18 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โชว์ลูกยิงจักรยานอากาศอย่างน่าเหลือเชื่อ จบเกมนั้นพวกเขาเอาชนะ ทีมม้าลาย ไปได้ด้วยสกอร์ 3-0 

รวมถึงเกมนัดชิงที่สามารถยัดเยียดความปราชัยต่อ ลิเวอร์พูล ไปได้ด้วยสกอร์ 3-1 แกเร็ธ เบล ลงมาเป็นตัวสำรองพร้อมทีเด็ดลูกยิงจักรยานอากาศเช่นเดียวกับ โรนัลโด้ ในรอบก่อนหน้านี้ ส่งผลให้พวกเขาคว้าแชมป์ UCL มาครองอีกสมัยได้สำเร็จ

และปีที่พีคที่สุดคงหนีไม้พ้นฤดูกาล 2021/22 ที่นำทัพโดย คาริม เบนเซม่า พวกเขาพลิกนรกได้ถึง 3 ครั้งด้วยกัน ในเกมแรกเป็นการเอาชนะ เปแอสเช ด้วยสกอร์รวม 3-2 จากที่ตามหลังถึง 2 ประตู แต่ก็มาได้แฮตทริกของ คาริม เบนเซม่า ในครึ่งหลังของเกมเลกสอง ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบได้แบบหวุดหวิด

เกมต่อมาเอาชนะ เชลซี ได้ด้วยสกอร์รวม 5-4 ต่อด้วยพลิกนรกเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้ 6-5 ซึ่งได้ 3 ประตูในช่วงนาทีบาปของเกม เรียกได้ว่าโกงความตายแบบสุดๆ และสานต่อแชมป์ด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ 1-0

คาร์โล อันเชล็อตติ เฮดโค้ชของทีมอธิบายว่า "มันยากที่จะอธิบายนะ ผมคิดว่ามันคือรากเหง้าของสโมสรที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน นักเตะทุกคนต้องรู้สึกว่าการเล่นให้เรอัล มาดริด มันเป็นเกียรติขนาดไหน และเราจะมายอมแพ้ง่ายๆ ตรงนี้ไม่ได้"

สรุปได้ว่าการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ละครั้งของ เรอัล มาดริด มักเต็มไปด้วยเรื่องราว และโมเมนต์มหัศจรรย์ให้พวกเราชาวโลกได้จดจำอยุ่เสมอ

[ ช่วงเปลี่ยนผ่านยังมีแชมป์ ]

จนกระทั่งเวลาได้ผ่านมาจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน เรอัล มาดริด ได้ขาดผู้นำในสนามหลังจากการจากไปของศูนย์หน้ารางวัลบัลลงดอร์อย่าง คาริม เบนเซม่า 

และการจากไปของ เบนเซม่า นี่เองทำให้ฤดูกาลปัจจุบันพวกเขาไม่มีกองหน้าระดับเวิร์คคลาสให้ใช้งานแม้แต่รายเดียว มีเพียงแค่ โฆเซรู เท่านั้นที่เป็นกองหน้าอาชีพของทีม

เห็นแบบนั้นแล้วกุนซือสมองเพชรอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ จึงได้ทำการปรับทีมชุดใหญ่ด้วยการนำ จู๊ด เบลลิงแฮม มาเล่นในรูปแบบกึ่งฟอลส์ไนน์ พร้อมกับดัน วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ มายืนในตำแหน่งคู่กองหน้า

ซึ่งปรากฏว่ามันได้ผล จู๊ด เบลลิงแฮม จากนักเตะดาวรุ่งสู่พรสวรรค์สูง สู่นักเตะระดับเวิร์ลคลาสเพียงแค่ระยะเวลาฤดูกาลเดียว เขาทำได้ถึง 23 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 42 นัด เป็นส่วนสำคัญช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 15, แชมป์ ลากีกา สเปน และ แชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ แถมยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของ ลาลีกา ได้อีกด้วย

นอกจากนี้นักเตะหน้าเดิมอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ ก็ยังคงยอดเยี่ยมเสมอต้นเสมอปลาย และมักทำประตูสำคัญในเกมสำคัญได้อยู่เสมอ

อีกทั้ง ศูนย์หน้าอย่าง โฆเซรู ที่ทีมยืมตัวมาจาก เอสปันญ่อล จากที่แฟนบอลต่างร้องยี้ว่าเอามาทำไม แต่ถึงตอนนี้คงไม่มีใครตั้งคำถามในตัวเขาอีกแล้ว หลังเจ้าตัวได้รับบทเป็นฮีโร่ซัด 2 ประตูพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 

[ รวมดาวรุ่งพรสวรรค์สูง ]

หากเรามาดูภาพรวมของ เรอัล มาดริด ชุดปัจจุบันต้องบอกว่าเต็มไปด้วยเหล่านักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงทั้งนั้น เริ่มด้วย จู๊ด เบลลิงแฮม ที่อายุเพียง 20 ปีเท่านั้น, วินิซิอุส จูเนียร์ อายุ 23 ปี, โรดรีโก้ อายุ 23 ปี, ออเรเลียง ชูอาเมนี่ อายุ 24 ปี, เฟเด้ วัลเวร์เด้ อายุ 25 ปี, กามาวินก้า อายุ 21 ปี

อีกทั้งในฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขายังเสริมทัพดาวรุ่งพรสวรรค์สูงจากแดนไก่งวงอย่าง อาร์ด้า กูแลร์ มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 19 ปี เข้ามาเป็นอนาคตของทีม โดยเฉพาะช่วงท้ายฤดูกาลที่ดาวเตะรายนี้โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ทำไปได้ถึง 6 ประตูจากเวลาในการลงสนามเพียง 377 นาทีเท่านั้น 

ไหนจะลูกหม้อของทีมอย่าง ฟราน การ์เซีย แบ็คซ้ายวัย 23 ปี ถึงแม้จะได้ลงสนามเพียง 11 นัดในฤดูกาลนี้ แต่ถ้าดูจากผลงานในสนามก็ต้องบอกว่าอนาคตของเจ้าหนูรายนี้อนาคตยังอีกไกล

รวมถึงการเข้ามาของศูนย์หน้าระดับพระกาฬอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่มีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น แน่นอนว่าการเข้ามาของดาวเตะรายนี้ที่การันตี 30 ประตูต่อฤดูกาลย่อมเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของทีม

หากเรามาดูค่าเฉลี่ยอายุของ เรอัล มาดริด พวกเขามีค่าเฉลี่ยอายุอยู่ที่ 24 ปีเท่านั้น 

และผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกความสำเร็จอย่างประธานสโมสร ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ต้องบอกว่า โคตรเก่ง ทั้งวิสัยทัศน์การบริหารทีมจัดการ ทรงพลัง เปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี เรียกได้ว่าโคตรครบเครื่อง 

แชมป์หูใหญ่ยุโรป 7 ครั้งหลังสุดของสโมสร และทำให้ เรอัล มาดริด เรืองอำนาจจนถึงทุกวันนี้ก็มาจากการบริหารงานของพี่แกนี่แหละครับ

[ คู่แข่งอยู่ในช่วงขาลง ]

นอกจาก เรอัล มาดริด จะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อแงแล้ว แต่ในทางกลับกันคู่แข่งของพวกเขากลับค่อยๆลดทอนอำนาจลงไปทุกวัน ยกตัวอย่างง่ายๆอย่าง บาร์เซโลน่า คู่อริตัวฉกาจของพวกเขาที่ปัจจุบันมีปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก และเพิ่งจะมีการเปลี่ยนกุนซือใหม่ แน่นอนว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะมาต่อการกับ ราชันชุดขาว ในตอนนี้ได้

ทางด้าน แมนฯ ซิตี้ เองก็ยังโดน 115 คดีที่ตามจ้องเล่นงานอยู่ และไม่รู้ว่าจะโดนเข้าวันไหน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หัวเรือใหญ่ของทัพเรือใบสีฟ้า ก็เหลือสัญญากับสโมสรอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่ายังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้

ลิเวอร์พูล ที่เคยเข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับพวกเขาถึง 2 ครั้งในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ทัพหงส์แดง ก็เพิ่งจะแต่งตั้งกุนซือคนใหม่อย่าง อาร์เน่ สล็อต รวมถึงนักเตะแกนหลักอย่าง โม ซาลาห์, เฟอร์จิล ฟานไดค์ ก็อยู่ในช่วงขาลงแล้ว ไหนจะอนาคตของผู้เล่นหลายๆคนในทีมก็ยังอยู่ในช่วงเจรจา

บาเยิร์น มิวนิค ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ หลังจากเสียแชมป์ให้กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาอย่างราบคาบ พวกเขาได้นำเข้ากุนซือป้ายแดงอย่าง แวงซองต์ กอมปานี เข้ามาคุมทัพในฤดูกาลหน้า หากจะหวังให้กุนซือรายนี้ขึ้นมาต่อกรกับ เจ้ายุโรปอย่าง เรอัล มาดริด ณ เวลานี้คงต้องบอกว่าเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา

แต่ทีมที่อยู่ในช่วงกราฟขาขึ้นก็มีเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็น อาร์เซน่อล หรือ เลเวอร์คูเซ่น ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในช่วงขวบปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าพวกเขาจะสามารถพัฒนาทีมเพื่อต่อยอดในฤดูกาลหน้าได้

แต่ถ้าหากเอามาเทียบปอนด์ต่อปอนด์กับ เรอัล มาดริด ในตอนนี้ก็ต้องบอกว่ายังห่างชั้นอยู่พอสมควร ทั้งประสบการณ์ของกุนซือ หรือแม้กระทั่งกับตัวนักเตะเอง

หากเรานำทุกอย่างมาประกอบกันอย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นครับว่า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 15 เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของพวก คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงแต่อย่างใด

-บีเบลล์ กูนเนอร์-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline