logo-heading

4 เหตุผลที่ อังกฤษ ภายใต้การนำทัพของ เซาธ์เกต จะไปไม่ถึงดวงดาว

ทีมชาติ อังกฤษ ภายใต้การคุมทัพของ แกเร็ธ เซาท์เกต ยังสร้างความหนักใจกับแฟนบอลอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยฟอร์มการเล่นที่ห่วยแตกไม่เอาอ่าว แม้ว่าการคว้า 1 แต้มจะเพียงพอต่อการเข้าสู่รอบต่อไปก็ตาม

แต่ถ้าดูจากผลงานทั้งสองนัดของ ทัพสิงโตคำราม ที่ถูกยกเป็นเต็งหนึ่งตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์เมนต์ต้องบอกว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก คำถามคือนี่ขนาดเจอแค่ เดนมาร์ก กับ เซอร์เบีย ยังเอาตัวแทบไม่รอด หากเข้ารอบต่อไปต้องไปเจอกับทีมระดับชั้นแนวหน้าด้วยกัน เซาท์เกต จะไหวไหม ?

เอาเป็นว่าวันนี้ ขอบสนาม จะพาไปชำแหละถึงเหตุผลว่าทำไม ทัพทรี ไลอ้อนส์ ภายใต้การคุมทีมของ เซาท์เกต จะไปไม่ถึงดวงดาว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรไปติดตามรับชมกันครับ

[ ปัญหาแบ็คซ้าย ]

ทีมชาติอังกฤษ ในกำมือของ แกเร็ธ เซาท์เกต มีปัญหาตั้งแต่การเลือกทั้ง 26 ขุนพลที่แม่งโคตรจะไม่บาลานซ์ โดยเฉพาะในแผงแนวรับที่ตัดสินใจเลือกผู้เล่นในตำแหน่ง แบ็คซ้ายอาชีพ มาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ลุค ชอว์ ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บไปตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่นกับ ทัพปีศาจแดง

จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววที่ ลุค ชอว์ จะกลับคืนสนามอีกครั้ง มีหนำซ้ำยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ชอว์ ยังไม่กลับมาลงซ้อมได้เลยด้วยซ้ำ เหมือน เซาท์เกต ตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้า และหวังว่า ลุค ชอว์ จะกลับมาฟิตทันระหว่างทัวร์นาเมนต์ 

ซึ่งไม่มีโค้ชชั้นนำที่ไหนเขาทำแบบนี้กันนะครับ ! แถมทางเลือกอื่นๆในตำแหน่งแบ็คซ้ายธรรมชาติกลับว่างเปล่า แต่ดันเลือกผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คขวามาถึง 3 อัตรา ไม่รู้จะเอาทำแมวน้ำอะไรเยอะแยะ 

ไทริค มิตเชลล์ ที่ทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัดอย่าง คริสตัล พาเลซ ที่ดูมีภาษีในการเป็นตัวแบ็คอัพชั้นเลิศ แต่ เซาท์เกต เลือกที่จะหมางเมิน กลับดันทุรังใช้ คีแรน ทริปเปียร์ ออกสตาร์ทในตำแหน่งแบ็คซ้ายทั้งสองนัด

ซึ่งเราเห็นแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของ เซาท์เกต มันไม่เวิร์คอย่างแรง ไม่ใช่ว่า ทริปเปียร์ ไม่ดีนะครับแต่มันดูไม่เป็นธรรมชาติ สังเกตุได้เลยตลอดสองนัดที่ผ่านมา อังกฤษ ไม่สามารถขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายได้เลย

[ ไม่มีระบบการเล่นที่ชัดเจน ]

ขยับมาที่ระบบการเล่นของ แกเร็ธ เซาท์เกต กันบ้างดีกว่า ตลอดสองเกมที่ผ่านมา มีใครพอจะช่วยอธิบายได้บ้างครับว่าแผนการเล่นของ เซาท์เกต คืออะไรกันแน่ ?! รู้แต่ว่าใช้แผน 4-2-3-1 แล้วจัดตัวผู้เล่นลงไปตามตำแหน่ง แล้วที่เหลือก็ปล่อยให้นักเตะเล่นกันตามสบาย ใช้ความสามารถของนักเตะเอา แผนไม่ต้องมี

ที่ผมพูดว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ ใครที่ดู ทีมชาติอังกฤษ เล่นทั้งสองนัดมันเป็นแบบนี้จริงๆ ขึ้นบอลทางปีกแล้วหวังให้ปีกทั้งสองข้างตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง พอคิดไม่ออกก็เล่นบอลโยนแม่งซะเลย ถ้าคิดจะเล่นแบบนี้ตั้งแต่แรกเลือก คริส วู้ด มาเล่นกองหน้าดูจะมีประโยชน์มากกว่า

แถมพอขึ้นนำแล้วแทนที่จะเดินหน้าบุกเอาประตูที่สอง กลับเลือกที่จะอุดประตูซะอย่างนั้น ปล่อยให้คู่แข่งอย่าง เดนมาร์ก และ เซอร์เบีย ที่ชื่อชั้นเป็นรองอยู่หลายขุม บุกกระหน่ำเข้าใส่แทบทั้งเกม เจียนอยู่เจียนไปอยู่หลายครั้ง หากไปเจอทีมที่มีคุณภาพนักเตะระดับฝีเท้าพอๆกัน บอกได้เลยว่าเละแน่นอน

ดูจากสถิติตลอดสองนัดที่ผ่านมาพบว่า อังกฤษ มีโอกาสง้างประตูน้อยกว่าคู่แข่งทั้งสองเกมกับทั้ง เซอร์เบีย และ เดนมาร์ก

เกมแรก อังกฤษ มีโอกาสยิง 5 ครั้ง เซอร์เบีย 6 ครั้ง
เกมสอง อังกฤษ มีโอกาสยิง 12 ครั้ง เดนมาร์ก 16 ครั้ง
 

[ การแก้เกมที่โคตรห่วยแตก ]

นอกจากระบบการเล่นจะห่วยแตกแล้ว สกิลการแก้เกมของ แกเร็ธ เซาท์เกต ยังบัดซบไม่แพ้กัน เล่นดีเปลี่ยนออกเล่นกระจอกเปลี่ยนเข้า วลีนี้ไม่เกินจริงสำหรับ เซาท์เกต ณ เวลานี้

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ดูจะทำอะไรได้มากที่สุดของ อังกฤษ ในเกมที่พบกับ เดนมาร์ก แต่พี่แกกลับเลือกส่ง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ลงมาแทนในครึ่งหลัง แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นครับ กัลลาเกอร์ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากวิ่งไปมาเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น

หลังเกม เซาธ์เกต ให้สัมภาษณ์ถึง เทรนต์ ว่า “เทรนต์ มีช่วงเวลาที่เขาสามารถทําสิ่งที่เราคิดว่าเขาทำได้ เรารู้ว่ามันเป็นการทดลอง และเรารู้ว่าเราไม่มีคนที่สามารถทดแทน คัลวิน ฟิลลิปส์ โดยธรรมชาติได้” 

ขอบอกตามตรงนะครับว่า อะไรของพี่ครับเนี่ย !! คุณมีตัวเลือกมากมายที่หลายทีมชาติได้แต่เฝ้าฝัน แต่คุณอยากมัวแต่คิดถึง คัลวิน ฟิลลิปส์ ที่โชว์ฟอร์มสุดห่วยแตกกับ เวสต์แฮม เนี่ยนะหัวจะปวด

ยังไม่จบเพียงเท่านี้นะครับ เซาธ์เกต ยังสร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการถอดผู้เล่นในแนวรุกออกพร้อมกันสามคน ทั้ง โฟเด้น , แฮร์รี่ เคน  และ บูคาโย่ ซาก้า โดยเลือกใช้งาน จาร์เร็ด โบเว่น , โอลลี่ วัตกิ้นส์ และ เอเบเรชี่ เอเซ่ ลงสนามาแทน 

แต่ก็ยังเลือกใช้ระบบการเล่นแบบเดิมนั่นก็คือการอุดประตู ผลสุดท้ายก็เป็นแบบที่เห็นนี่แหละครับ โดน เดนมาร์ก กดเข้าใส่แบบเดิมยันสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา

[ เปลี่ยนนักเตะเวิร์ลคลาส กลายเป็นนักเตะเวิร์ลแก๊ส ]

อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่าขุนพล ทีมชาติอังกฤษ อุดมไปด้วยนักเตะ "ซูเปอร์สตาร์" ระดับชั้นแนวหน้าของ พรีเมียร์ลีก

ฟิล โฟเด้น ที่เพิ่งจะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยฟอร์มการเล่นที่สุดยอดกล้วยทอดสองถุง กระหน่ำไปถึง 27 ประตูกับอีก 12 แอสซิสต์ เป็นฤดูกาลที่ โฟเด้น ทำผลงานได้ไฉไลที่สุดของตัวเองเลยก็ว่าได้ 

แต่พอมาอยู่ในมือ เซาธ์เกต เขาได้เปลี่ยน โฟเด้น กลายเป็นเกรดนักเตะธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถเค้นศักยภาพของดาวเตะรายนี้ให้อยู่ในฟอร์มที่ดีเฉกเช่น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

แฮร์รี่ เคน นักเตะดีกรีรางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป กระหน่ำไปถึง 44 ประตู จากการลงสนาม 45 นัดรวมทุกรายการ เป็นเดอะแบกของ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา แต่หันมาดูฟอร์มการเล่นของ เคน ตอนนี้สิครับ สองเกมรวมกัน เคน มีโอกาสง้างประตูเพียง 2 ครั้งเท่านั้น

และสุดท้าย เดแคลน ไรซ์ นักเตะที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดรายหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นหัวใจในแผงมิดฟิลด์ของ อาร์เซน่อล เป็นตัวขับเคลื่อนแดนกลางที่ทีมขาดไม่ได้

ในทางกลับกันฟอร์มการเล่นของ ไรซ์ เกมเมื่อคืนต้องบอกว่าหวยแตกขั้นสุด เสียบอลไปทั้งหมด 5 ครั้ง หากนับทั้งฤดูกาลที่เล่นกับ อาร์เซน่อล ไรซ์ เกมนี้เสียบอลเยอะกว่า แถมยังจ่ายผิดจ่ายถูกอีกนับครั้งไม่ถ้วน จนเกือบพาทีมเสียประตูอยู่หลายครั้ง

ใครเป็นแฟนฟุตบอล พรีเมียร์ลีก แล้วได้ติดตามนักเตะเหล่านี้มาทั้งฤดูกาล ขอบอกตามตรงแม่งโคตรปวดใจ  เซาธ์เกต เปลี่ยนจากนักเตะระดับ เวิร์ลคลาส กลายเป็นนักเตะ เวิร์ลแก๊ส เพียงการเล่นแค่สองนัดเท่านั้น

ขอเรียนตามตรงนะครับว่า นี่แค่สองนัดยังบรรลัยขนาดนี้เกมที่เหลือจะขนาดไหน ผมมั่นใจอย่างเต็มประดาเลยว่า หาก เซาธ์เกต ยังคุมทัพอยู่ Football is coming home คงเป็นแค่ความฝันต่อไป

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline