ย้อนกลับไปเมื่อในศึก ยูโร 2020 หรือประมาณ 3 ปีที่แล้ว บูกาโย่ ซาก้า ในวัย 19 ปี ได้ตกเป็นแพะรับบาป หลังสังหารจุดโทษพลาดในเกมนัดชิงชนะเลิศที่พบกับ อิตาลี
เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนเป็นบาดแผลทางจิตใจ ที่คอยกัดกินหัวใจของชายหนุ่มผู้นี้เรื่อยมา
จนเวลาได้ล่วงเลยมาถึง ยูโร 2024 เวทีที่ ซาก้า จะมีโอกาสได้กลับมาแก้ตัวอีกครั้ง และเขาก็ทำได้สำเร็จทำเกมที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ เขาซัดประตูตีเสมอให้กับทีมได้ในนาที 80 ก่อนมาแก้ตัวในการดวลจุดโทษได้สำเร็จ
ว่าแล้ววันนี้ ขอบสนาม จะพาทุกท่านไปรับชมพัฒนาการ และความเปลี่ยนแปลงของ บูกาโย่ ซาก้า จากแพะรับบาปในวันนั้น สู่ตัวเอกที่พา ทัพสิงโตคำราม เข้าสู่รอบรองชนะเลิศ
[ แจ้งเกิดในตำแหน่งแบ็คซ้าย ]
บูกาโย่ ซาก้า เกิดและเติบโตมาในอคาเดมี่ของ อาร์เซน่อล ตั้งแต่เป็นเยาวชน จนได้ก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2019/20 ภายใต้การคุมทัพของ มิเกล อาร์ตต้า
ซาก้า ได้โชว์ฝีเท้า และแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้าย นัดที่ อาร์เซน่อล บุกไปเอาชนะ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 3-0 ในศึก ยูโรป้า ลีก โดยในเกมดังกล่าวเขาทำได้ 1 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์
หลังจากเกมนัดนั้น ซาก้า ก็ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่จะเน้นหนักไปทาง แบ็คซ้าย และ ปีกซ้ายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมผงาดคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ
ด้วยผลงานอันโดดเด่นเช่นนี้ทำให้ ซาก้า ได้รับการโหวตเป็นอันดับ 3 สำหรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฤดูกาล ด้วยผลงาน 4 ประตู กับอีก 12 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 39 นัดรวมทุกรายการ
[ ฤดูกาลแจ้งเกิด ]
ในฤดูกาล 2020/21 เหมือนเป็นจุดพลิกชีวิตของ ซาก้า เลยก็ว่าได้ จากตำแหน่งแบ็คซ้าย มิเกล อาร์เตต้า ก็เริ่มเห็นแววเด่นเรื่องการเล่นเกมรุก ทั้งสกิลการลากเลื้อย และทีเด็ดในการสังหารประตู เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็เริ่มโยก ซาก้า มายืนในตำแหน่งปีกขวา และได้ประเดิมตำแหน่งดังกล่าวในเกมที่พบกับ เชลซี
ซึ่งถือว่าเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่สำหรับ มิเกล อาร์เตต้า เพราะ อาร์เซน่อล ไม่ชนะใครมา 7 เกมติดต่อกัน แพ้ 5 เสมอ 2 หากล้มเหลวขึ้นมาต้องบอกว่าดูไม่จืดเป็นแน่
โดยในเกมนั้น บูกาโย่ ซาก้า ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม สอดประสานกับบรรดาผู้เล่นดาวรุ่งด้วยกันอย่าง กาเบรียล มาติเนลลี่ และ เอมิล สมิธโรว์ ได้อย่างกลมกล่อม และลงตัว แถมยังทำได้ 1 ประตู ท้ายที่สุด ทัพปืนใหญ่ ก็สามารถเก็บชัยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เกม ด้วยการเอาชนะ เชลซี ด้วยสกอร์ 3-1
หลังจากนั้น เจ้าหนู ซาก้า ก็ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องในตำแหน่งปีกขวา จนสามารถคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปได้ในท้ายที่สุด ด้วยผลงาน 7 ประตู กับอีก 9 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 46 นัด
[ ยูโร 2020 ]
หลังจากจบฤดูกาลดังกล่าว แกเร็ธ เซาต์เกธ ไม่รอช้าที่จะเรียก บูกาโย่ ซาก้า ติดธง สิงโตคำราม ลุยศึก ยูโร 2020 ทันที ด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น
ซาก้า ลงสนามไปเพียง 4 นัดเท่านั้นตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แบ่งออกเป็นตัวจริง 3 นัดตัวสำรอง 1 นัด
และที่เป็นไฮไลท์ที่คนจดจำมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเกมนัดชิงชนะเลิศที่ อังกฤษ พบกับ อิตาลี โดย ซาก้า ได้ถูกเปลี่ยนลงสนามในนาที 71 แทนที่ของ คีแรน ทริปเปียร์
โดยในเกมนั้นเสมอกันด้วยสกอร์ 1-1 จนครบ 120 นาที และต้องมาตัดสินในศึกดวลเป้า บูกาโย่ ซาก้า ได้รับหน้าเป็นคนสังหารจุดโทษคนที่ 5 แน่นอนว่าเจ้าตัวจำเป็นต้องยิงให้เข้า เพื่อยื้อการลุ้นแชมป์รายการดังกล่าวต่อไป
แต่ทว่า ซาก้า กลับยิงไปติดเซฟของ จานรุยจิ ดอนนารุมม่า นายด่านชาวอิตาลี ส่งผลให้ทัพ “สิงโตคำราม” ได้รองแชมป์ และต้องรอความสำเร็จในรายการเมเจอร์ต่อไป นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966
Football is coming home ที่ชาวอังกฤษได้แต่เฝ้าฝันมาเนิ่นนาน ยูโร ครั้งนี้ พวกเขาได้เข้าใกล้มากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่กลับแหลกสลายไปในพริบตา เช่นเดียวกับ บูกาโย่ ซาก้า ที่เปรียบดั่งฝันร้ายของเขาเลยก็ว่าได้
จบเกมดังกล่าวทำให้ แข้งวัย 19 ปีรายนี้ ถูกตกเป็นแพะรับบาป และถูกสาปแช่งต่างๆนาๆ ถูกกล่นด่าจากทั่วทุกสารทิศ เหยียดเชื้อชาติจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม ซึ่งนักวิจารณ์ต่างคาดการณ์ว่านี่อาจเป็นจุดจบของแข้งรายนี้เลยก็ว่าได้ หากหัวจิตหัวใจไม่แข็งแกร่งพอ
หลังจากจบเกมดังกล่าวไปได้ 3 วัน ซาก้า ได้ออกมาเปิดใจครั้งแรกว่า "ผมอยู่ห่างจากโลกโซเชียลไปหลายวันเพื่ออยู่กับครอบครัว และไต่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มันเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษชุดนี้"
"พวกเขาคือพี่น้อง และผมรู้สึกขอบคุณมากๆกับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากทุกคนทั้งจากเพื่อนร่วมทีม และสต๊าฟโค้ช พวกเราทุกคนทำงานกันหนักมาก"
[ การเริ่มต้นใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ]
หลังจากผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายมาได้ ซาก้า ได้ค่อยๆปรับปรุง และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้าน จากนักเตะดาวรุ่งที่คอยหมุนเวียนผู้เล่นในทีม สู่ตัวหลักที่ทีมขาดไม่ได้
ฤดูกาล 2021/22 ซาก้า ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับ อาร์เซน่อล ยกระดับทีมให้กลับมาลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์อีกครั้ง แม้จะทำไม่ได้ตามเป้า โดยจบได้เพียงอันดับ 5 ของตาราง แต่ทว่าผลงานส่วนตัวของ ซาก้า จัดว่าเหลือร้ายไม่เบา ทำไป 12 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ จาการลงสนามทั้งหมด 43 นัดรวมทุกรายการ
ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทำให้เจ้าตัวคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของสโมสร ได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งคนสุดท้ายที่ได้รางวัลดังกล่าว 2 ปีซ้อนนั่นคือ เธียร์รี่ อองรี เมื่อปี 2003/04
ฤดูกาลต่อมา 2022/23 ซาก้า ได้ยกระดับฝีเท้าตัวเองขึ้นมาอีกขั้น พร้อมกับพา อาร์เซน่อล กลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้งในรอบหลายปี แม้ท้ายที่สุด ทัพปืนใหญ่ จะพลาดท่าต่อ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงโค้งสุดท้าย
แต่ผลงานส่วนตัว ซาก้า จัดว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ เขาถลุงตาข่ายได้ถึง 15 ประตู กับอีก 11 แอสซิสต์ ส่งผลให้เจ้าตัวคว้ารับรางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีจากงานลอนดอนฟุตบอลอวอร์ดปี 2023
อีกทั้งเขายังได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่น พรีเมียร์ลีก ยอดเยี่ยมประจำเดือนมีนาคม ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรางวัลนี้ ซึ่งทำให้เจ้าตัวกลายเป็นผู้เล่น อาร์เซน่อล คนที่ 22 ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวอีกด้วย
และฤดูกาลล่าสุด 2023/24 บูกาโย่ ซาก้า ได้ระเบิดฟอร์มที่ดีที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของตัวเองออกมา กลายเป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้ เป็นดั่งเดอะแบกในแนวรุกของทีมร่วมกับ มาร์ติน โอเดการ์ด เรียกได้ว่าไม่เจ็บไม่ป่วย ยังไงก็ต้องลง
ซาก้า ยิงประตูได้ถึง 20 ประตู พ่วงด้วย 14 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 47 นัด พร้อมกับพา อาร์เซ่นอล ลุ้นแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ จวบจนวินาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีเลยก็ว่าได้ แม้ทีมจะพลาดแชมป์ 2 ปีซ้อน แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า พัฒนาการของ บูกาโย่ ซาก้า ยกระดับทุกฤดูกาลจริงๆ
[ ลบภาพฝันร้ายสำเร็จ ]
พอจบฤดูกาลดังกล่าวการเดินทางของ ฟุตบอลแห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2024 ก็ได้โคจรกลับมาอีกครั้ง เวทีที่ ซาก้า ได้พบกับช่วงเวลาอันเลวร้าย และแน่นอนว่าในศึก ยูโร ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน เขาพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม ทั้งร่างกาย และจิตใจ
เกมในรอบแบ่งกลุ่ม รวมถึงในรอบ 16 ทีมสุดท้าย บูกาโย่ ซาก้า ถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวัง ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้เลยแม้แต่นัดเดียว
ทว่ารอบในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ ซาก้า ได้ระเบิดฟอร์มเทพกลับมาอีกครั้ง ฉีกกระชากแผงหลัง และป่วนแนวรับของ สวิตฯ ได้แทบทั้งเกม ร่วมถึงยังทำหน้าที่เกมรับได้ดีอีกด้วย
นอกจากนี้ยังบันดาลลูกยิงตีเสมอให้กับทีมแบบดื้อๆ ด้วยการตัดเข้าใน และซัดด้วยซ้าย ซึ่งเป็นลูกเก่งของเจ้าตัว ที่มักทำได้เป็นประจำที่ อาร์เซน่อล ช่วยให้ ทัพสิงโตคำราม ตีเสมอได้สำเร็จ หลังจากถูกขึ้นนำได้เพียง 5 นาทีเท่านั้น
เวลาได้ผ่านไปครบ 120 ผลสกอร์ยังอยู่ที่ 1-1 จึงต้องมาตัดสินที่ฎีกาดวลจุดโทษเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ
ต้องขอชมว่า อังกฤษ ชุดนี้เตรียมทีมมายิงจุดโทษได้ดีมากๆ แต่ละคนสังหารไม่พลาดเลย จนกระทั่งเวลาที่เขารอคอยมานานกว่า 3 ปีเต็มๆได้มาถึง ซาก้า ได้รับหน้าที่สังหารจุดโทษคนที่ 3 ต่อจาก จู๊ด เบลลิงแฮม ที่ยิงเข้าไปก่อนหน้านี้
ซาก้า ค่อยๆวางบอลลงตรงจุดโทษอย่างช้าๆ ก่อนบรรจงซัดเข้าไปเสียบมุมตาข่าย ลบภาพฝันร้ายที่คอยเล่นงานจิตใจมาอย่างยาวนานได้สำเร็จ และสามารถพา ทีมชาติอังกฤษ ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้อีกครั้ง เรียกได้ว่าจาก 'แพะรับบาป' สู่ดาวเตะตัวความหวังอย่างแท้จริง
ต้องขอกราบหัวจิตหัวใจของ ซาก้า เลยครับ ที่สามารถผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายมาได้ ด้วยวัยเพียงแค่นั้น แถมใน ยูโร ครั้งนี้ ยังกล้าขึ้นมายิงจุดโทษเพื่อลบล้างพลาดแผลที่กัดกินหัวใจมาอย่างยาวนาน หากพลาดขึ้นมาไม่อยากจะคิดจริงๆครับว่าเจ้าตัวต้องโดนอะไรอีกบ้าง ขอกราบหัวใจ ซาก้า จริงๆครับ เอ็งแม่งโคตรเจ๋ง !!