logo-heading

ศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จะมีการลงเตะ และห่ำหั่นกันในวันเสาร์นี้แล้ว เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า พรีเมียร์ลีก กำลังจะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์ เอฟเอ คัพ เมื่อฤดูาลที่ผ่านมาจะพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก เกมนี้เปรียบเสมือนเกมอุ่นเครื่องใหญ่ เตรียมความพร้อมก่อนเปิดฤดูกาล อีกทั้งยังเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แน่นอนว่าไม่มีใครยอมใครอย่างแน่นอน การันความเดือดดาลแบบ 10 กระโหลก

ว่าแล้ว ขอบสนาม จะพาไปเจาะเหตุผลกันว่า ทำไมเกมวันเสาร์นี้ในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ในรายการ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ถึงห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

ศึกแห่งศักดิ์ศรี แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมตซ์ 

แม้ว่าเกมที่ทั้งคู่จะมีคิวฟาดแข้งในวันเสาร์นี้จะไม่ใช่เกม พรีเมียร์ลีก หรือนัดชิงบอลถ้วยนัดสำคัญ แต่เป็นแค่บอลถ้วยการกุศลอย่าง คอมมิวนิตี้ ชิลด์ เท่านั้น หากเป็นทีมอื่นมาพบกันคนก็จะไม่ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่นัก

แต่ทว่าเกมนัดนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างทีมคู่อริร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปะทะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีการห่ำหั่นมายาวนานตั้งแต่ปี 1881 หรือ 143 ปีมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเกมนี้ไม่ใช่แค่เกมการแข่งขันทั่วไป แต่มันคือสงครามแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ที่แฟนบอลของทั้งสองทีมต่างเฝ้ารอ 

บรรยากาศใน สนามเวมบลีย์ จะเต็มไปด้วยเสียงเชียร์อันกึกก้อง ทำให้เกมการแข่นขันนัดนี้เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น และเร้าใจ ต่างจากเกมธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน 

 

โอกาสแก้แค้นของ เรือใบ 

อย่างที่ทราบกันดีว่าเกมสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายที่พังพาบ พ่ายแพ้ต่อ แมนยูฯ ไปด้วยสกอร์ 2-1 ในนัดชิง เอฟเอ คัพ จบฤดูกาลแบบไม่สวยหรูเท่าไหร่ ถึงแม้ เรือใบ จะสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันได้ก็ตาม

เกมวันเสาร์นี้ กุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงไม่สั่งให้ลูกทีมมาเดินเล่นในสนามเป็นแน่ การมาแก้แค้นคือหนึ่งในเป้าหมายหลักของ เป๊ป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะได้แก้แค้นตั้งแต่หัววัน 

หากพวกเขาทำสำเร็จจะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงคู่แข่งใน พรีเมียร์ลีก ว่า แมนฯ ซิตี้ ยังเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และพร้อมป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 5 ติดต่อกัน

โอกาสย้ำแค้นของ ผีแดง 

ส่วนทางด้าน แมนยูฯ แน่นอนว่าพวกเองก็ต้องการคว้าชัยชนะในเกมนี้ให้ได้เหมือนกัน เพื่อเป็นการย้ำแค้นต่อคู่อริร่วมเมือง ซึ่งการเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ สองนัดติดต่อกันครั้งสุดท้าย ต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 2009 เลยทีเดียว สมัยที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่คุมบังเหียนให้กับ ทัพปีศาจแดง

นอกจากนั้นแล้วการเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ และคว้าแชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จะทำให้เหล่าสาวกปีศาจแดงเล็งเห็นว่าทีมกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความสำเร็จในฤดูกาลใหม่ แถมยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และความหวังของแฟนบอลให้กลับมามีแรงศรัทธาในสีเสื้อ ปีศาจแดง อีกครั้ง


 

ชี้ชะตา เทน ฮาก ? 

ต้องยอมรับว่าหนึ่งเหตุผลที่ เอริค เทน ฮาก ได้อยู่คุม ปีศาจแดง และได้สัญญาใหม่จนปี 2026 นั่นก็คือการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เหนือ แมนฯ ซิตี้ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

แต่ก็อย่าลืมว่าตลอดทั้งฤดูกาลของ แมนยูฯ นั้นย่ำแย่แค่ไหน พวกเขาจบอันดับ 8 ของตาราง ซึ่งเป็นอันดับที่ห่วยแตกที่สุดของ แมนยูฯ นับตั้งแต่ปี 1992 มิหนำซ้ำผลต่างประตูได้เสียของทีมยังติดลบอีกต่างหาก

สมมุติว่า แมนยูฯ เกิดเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้อีกครั้ง แน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับ เอริค เทน ฮาก ได้ไม่มากก็น้อย ร่วมถึงยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อนักเตะให้กลับมามีความหึกเหิมอีกครั้ง ก่อนเปิดฤดูกาล

แต่ในทางกลับกัน ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา แม้ว่าลำดับความสำคัญของถ้วย คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จะถูกยกให้มีความสำคัญน้อยที่สุดในบรรดาทุกถ้วย แต่การพ่ายแพ้ต่อคู่อริร่วมเมืองอย่าง แมนฯ ซิตี้ ย่อมส่งผลกับสภาพจิตใจของนักเตะ และตัวผู้จัดการทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงยังต้องเผชิญกับความดันมหาศาลจากทั้งแฟนบอล และสื่อ

แน่นอนว่าฤดูกาลที่กำลังมาถึงจะเป็นตัวชี้ชะตาของ เอริค เทน ฮาก ว่าจะได้อยู่ต่อหรือพอแค่นี้ หากเกมวันเสาร์เกิดแพ้แบบเละเทะ แล้วสภาพจิตใจของทีมกู่ไม่กลับ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ เทน ฮาก จะถูกปลดออกจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน

-บีเบลล์ กูนเนอร์-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline