logo-heading

เป็นการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ในศึกไทยลีกได้อย่างยอดเยี่ยม และดีเกินคาดจริงๆ สำหรับทีม "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือ เอฟซี ใน 5 เกมแรกที่ผ่านมา ด้วยการเก็บชัยชนะได้ถึง 4 นัดติดต่อกัน จนกลายเป็นประวัติศาสตร์สโมสร ตามด้วยผลเสมอในเกมล่าสุด

ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ 5 นัดติดต่อกัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลที่สมบูรณ์แบบมากๆ แต่นี่ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว 5 นัดไม่แพ้ใคร เก็บได้ 13 คะแนน เป็นรองเพียงแค่จ่าฝูงอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ชนะรวด 5 นัดแรก เพียง 2 คะแนนเท่านั้น

ซึ่งฤดูกาลนี้ยังอีกยาวไกล บอกเลยว่าการเบียดลุ้นแชมป์ไทยลีก ยังคงสนุกและเข้าข้นเร้าใจแน่นอน

นี่คงจะเป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลสิงห์เจ้าท่า มีความสุขกับผลงานของทีม ที่ถือว่าออกสตาร์ทได้ดีที่สุดตั้งแต่ลงเล่นไทยลีกมาเลยก็ว่าได้ และด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมนี่เอง น่าจะเป็นการประกาศศักดิ์ดาให้ทุกทีมรู้ว่า "สิงห์เจ้าท่า" นี่แหละ ที่พร้อมจะเป็นทีมท้าชิงแชมป์ไทยลีกฤดูกาลนี้อีกหนึ่งทีม

จริงๆ ฤดูกาลที่ผ่านมาๆ ของ การท่าเรือ เอฟซี เป้าหมายของพวกเขาก็คือการลุ้นแชมป์ไทยลีก ทุกฤดูกาลอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านๆ มามักจะตกม้าตาย และหมดลุ้นแชมป์ไปก่อนเอง

อาจจะด้วยขุมกำลังมาตรฐานตัวผู้เล่นในทีม อาจจะด้วยโค้ช อาจจะด้วยปัจจัยอะไรต่างๆ แต่ที่เห็นชัดเลยก็คือ การยืนระยะที่มักจะสู้กับทีมอย่าง บุรีรัมย์ หรือ ทรู แบงค็อก ไม่ได้ 

แต่ในฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากพวกเขาได้ "โค้ชอ้น" รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค เข้ามาคุมทีม ผลงานของทีมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาจบอันดับที่ 3 ได้สำเร็จ

มาในซีซั่นนี้ "โค้ชอ้น" ได้เริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่เริ่มฤดูกาล รวมทั้งมีส่วนร่วมในการเลือกตัวผู้เล่นเข้ามา เรียกได้ว่าได้ทำทีมในแบบของตัวเองแบบเต็มตัว เราก็เริ่มได้เห็นอะไรดีๆ มากขึ้นจากการท่าเรือ ใน 5 เกมที่ผ่านมา

สิ่งแรกเลยก็คือ เรื่องของความทุ่มเท และสู้จนหยดสุดท้าย จริงๆ แล้วการท่าเรือ เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการออกไปเยือนทีมน้องใหม่อย่าง ระยอง เอฟซี ตอนแรกก็คิดว่าเป็นงานที่ง่าย แต่เล่นไปเล่นมาโดนน้องใหม่ขึ้นนำก่อน จนถึง 20 นาทีสุดท้าย ก่อนจะมายิงแซง 3 ประตูรวดท้ายเกม และความยอดเยี่ยมของสุดยอดซูเปอร์ซับอย่าง ธีรศักดิ์ เผยพิมาย

ต่อมาก็คือเรื่องเกมรุกที่ดุดัน และมีความหลากหลาย จะเห็นได้ว่าในแต่ละเกมการท่าเรือ ยิงคู่แข้งได้ 2 ลูก 3 ลูก 4 ลูก 5 ลูกก็มี เรียกได้ว่าเกมรุกดีมากๆ แต่ในขณะเดียวกันเกมรับก้เสียประตูเกือบทุกนัดเช่นกัน ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องไปแก้ไข

ใน 5 เกมที่ผ่านสิงห์เจ้าท่า ถล่มประตูไปได้ 16 ประตู เฉลี่ยแล้วเกมละ 3 ประตู เป็นรองเพียงแค่บุรีรัมย์ ที่ยิงไป 19 ประตู

ซึ่งปัญหาก็คือการที่ทีมการท่าเรือ จะขึ้นมาท้าชิงแชมป์ไทยลีก สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องลบคำว่าเป็นรอง บุรีรัมย์ ในเรื่องต่างๆ ไปให้ได้

จะเห็นได้ว่าผลงานท่าเรือ ก็ยอดเยี่ยมชนะมา 4 นัดเสมอ 1 ซึ่งมันดีมากๆ แต่ก็ยังเป็นรอง บุรีรัมย์ ที่ชนะรวด 5 นัด

การท่าเรือ ยิงได้ 16 ประตู ซึ่งก็ถือว่าเยอะมากใน 5 เกม แต่ก็ยังเป็นรองบุรีรัมย์ ที่ยิงได้ 19 ประตู

นี่แหละคือโจทย์ที่ "โค้ชอ้น" และทีมงานรวมทั้งนักเตะทีมการท่าเรือ ต้องไปหาวิธีทำยังไงถึงจะลบคำว่าเป็นรองบุรีรัมย์ ไปให้ได้ เพราะถ้าจะเป็นแชมปืไทยลีก คุณก็ต้องดีกว่าทีมอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ฤดูกาลนี้ การท่าเรือ ดูมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากฤดูกาลก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐานการเล่น ผลงานในสนาม และขุมกำลังที่ดูจะมีตัวเลือกให้ใช้งานแบบเต็มสูบ ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง

แต่ก็อย่าเพิ่งได้ใจหรือประมาทเกินไปกับผลงานที่ยอดเยี่ยมอยู่ในเวลานี้ เพราะอย่าลืมว่านี่เพิ่งจะเริ่มต้นฤดูกาล และลงเตะแค่ไทยลีก อย่างเดียวเท่านั้น เดี่ยวหลังจากนี้จะมีฟุตบอลถ้วย มีฟุตบอลเอซีแอล ที่การท่าเรือ จะได้ไปลงเตะด้วย เมื่อถึงตอนนั้นโปรแกรมมันจะชุกไปหมด

ดังนั้นเรื่องการโรเตชั่นหวุนเวียนนักเตะนั้นสำคัญ เพื่อให้ทีมมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในแต่ละเกม แต่ละรายการ และเมื่อโปรแกรมเยอะขึ้น ก็จะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของการท่าเรือ ว่าจะยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้หรือไม่ จะมีแกว่งหรือเปล่า

โดยเฉพาะการออกไปเล่นเป็นทีมเยือนที่เป็นปัญหาของการท่าเรือ มาตลอด ปีนี้จะดีขึ้นไหม ก็ต้องมารอดูกัน

ซึ่งความน่าตื่นเต้นหลังจากนี้ก็ไม่ต้องรอนาน เดี๋ยวไทยลีกกลับมาลงสนามนัดที่ 6 ปรากฏว่าการท่าเรือ เอฟซี ก็จะทำศึกบิ๊กแมตช์กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่แพท สเตเดี้ยม ในวันที่ 12 กันยายนนี้ ซึ่งเกมนี้น่าจะเป็นเกมที่ชี้วัดอะไรได้หลายอย่าง

โดยเฉพาะการสลัดคำว่ายังเป็นรองบุรีรัมย์ อยู่นั้น จะลบคำว่านี้ออกไปได้หรือไม่ ถ้าเกมพวกการท่าเรือสามารถยัดเยียดความปราชัยนัดแรกให้ทีมปราสาทสายฟ้าได้ละก็ คุณก็จะขึ้นมามีแต้มเหนือบุรีรัมย์ ทันที แต่ถ้าแพ้ หรือเสมอก็ยังคงต้องเป็นพระรองต่อไป

ซึ่งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว บุรีรัมย์ ก็มาพลาดท่าที่สนามแห่งนี้ ต้องมารอดูว่าผลการแข่งขันมันจะจบแบบเดิมหรือเปล่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline