[ ฮาแลนด์ ยิงต่อเนื่อง ]
หลังจากที่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มเกมก็เป็นทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่นำบอลมาขึงบุกทางฝั่งทีมเยือนอยู่ฝ่ายเดียวตามแบบฉบับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และนำมาซึ่งประตูอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 10 นาทีจากกาของ ซาวินโญ่ ทะลุเข้าไปถึง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ สับไกยิงด้วยซ้ายเข้าไป
ซึ่งประตูดังกล่าวทำให้ ฮาแลนด์ ตะบันตาข่ายใน พรีเมียร์ลีก ทะลุ 100 ประตูเข้าไปแล้ว จากการลงสนามเพียง 105 นัดเท่านั้น ทำลายสถิติ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ยิง 100 ประตูเร็วที่สุดใน พรีเมียร์ลีก
นอกจากนั้น ฮาแลนด์ ยังทำสถิติสุดบ้าระห่ำเทียบเท่ากับ พี่โด้ คนเดิมที่ยิง 100 ประตูจากการลงสนาม 105 นัดให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อฤดูกาล 2011
จากประตูดังกล่าวทำให้เจ้าของสมญานาม 'จอมมารบู' นำโด่งในตำแหน่งดาวซัลโวที่ 10 ประตู จากการลงสนามเพียง 5 นัดเท่านั้น ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ยิงครบ 10 ประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก อีกด้วย แม่งโคตรโหดจริงๆ !!
[ เซ็ตพรีสอีกแล้ว ]
แม้รูปเกมจะสู้เจ้าบ้านไม่ได้แต่พวกเขาก็ยังมีทีเด็ดจากลูกเซตพรีสเหมือนกัน เกมวันนี้ อาร์เซน่อล มากับสูตรลูกตั้งเตะแบบใหม่ ซึ่งจากสูตรเดิมที่จะให้ผู้เล่นยืนกองอยู่เสาสอง แล้ววิ่งเข้ามาโขกตรงเสาแรก ทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ เองก็เตรียมแผนมารับมือกับวิธีการนี้อยู่แล้ว ด้วยการให้ผู้เล่นยืนคุมอยู่เสาแรกทั้งหมด
เมื่อเห็นแบบนั้น นิโคลัส โยเวอร์ โค้ชผู้ลูกเซตพรีสของ อาร์เซน่อล ก็เลยปรับสูตรมันซะเลยด้วยการให้ผู้เล่นไปกองที่เสาไกลเช่นเคย แต่ไม่ได้โฉบไปโขกที่เสาแรกแบบเดิมนะครับ แต่เปิดแม่งเข้าเสาไกลนี่แหละ
ด้วยวิธีการนี้เองทำให้ อาร์เซน่อล เกือบได้ประตูขึ้นนำจาก กาเบรียล มากัลเญซ ขึ้นมาโขกจ่อๆบอลเหินข้ามคานไปนิดเดียว และลูกเตะมุมครั้งที่สองก็ได้ประตูทันทีมาจากลูกโขกของ พี่รัศมีแข คนดีคนเดิม
ต้องบอกว่าวินาทีนี้การได้เตะมุมของ อาร์เซน่อล ไม่ต่างอะไรกับการได้ลูกจุดโทษเลยจริงๆ ต้องบอกว่าวินาทีนี้การได้เตะมุมของ อาร์เซน่อล ไม่ต่างอะไรกับการได้ลูกจุดโทษเลยจริงๆ และนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ อาร์เซน่อล ไม่ซื้อศูนย์หน้ามาเพิ่มในช่วงตลาดซัมเมอร์ก็เป็นได้ กองหน้าไม่ยิง หวังพึ่งกองหลังขึ้นมาทำประตูแม่งซะเลย
[ ใบแดงแบบเดิมๆ ]
หลังจากนั้นเวลาก็เดินไปจนถึงช่วงทดเวลาเจ็บครึ่งแรกที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่เหตุการณ์เดจาวูก็ได้เกิดขึ้นกับ อาร์เซน่อล อีกครั้ง ด้วยการเหลือผู้เล่น 10 คน จากการโดนใบเหลืองที่สองของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ที่เข้าไปฟาวล์ใส่ แบร์นาโด้ ซิลวา ทำเอาแฟนปืนใหญ่ทุกหมู่เหล่างงเป็นไก่ตาแตกเลยหละครับ ว่าจังหวะกระแทกแค่นี้เป็นใบเหลืองที่สองเลยหรอ ?
สุดท้ายทาง พรีเมียร์ลีก ก็ได้แจงเหตุผลที่เป็นใบเหลืองที่สองของ ทรอสซาร์ เป็นเพราะเตะบอลทิ้งเจตนาดีเลย์เกม ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เคยเกิดขึ้นแล้วกับ เดแคลน ไรซ์ นัดที่เสมอกับ ไบรท์ตัน
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ทำให้แฟนปืนทั่วโลกต่างคิดในใจเป็นเสียงเดียวกันว่า "เป็นกูอีกแล้วหรอวะ" ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่าครึ่งหลังที่เหลือผู้เล่น 10 คนจะต้องเจอกับ พายุอุกกาบาตสีฟ้า บุกถล่มเข้าใส่แบบไม่ยั้งหยุดเป็นแน่
[ คาเตนัชโช่ ]
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว มิเกล อาร์เตต้า เลยใช้แผนตั้งรับปิดประตูใส่กลอนตามแบบฉบับ 'คาเตนัชโช่'ตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง และภาพที่เราได้เห็นตลอดทั้งครึ่งเลยคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นฝ่ายบุกกระหน่ำกระทำชำเราเข้าใส่ อาร์เซน่อล อยู่ฝ่ายเดียวแบบไม่ถอนคันเร่ง
แต่ด้วยเกมรับที่เหนียวแน่นแข็งแกร่งของ ไอ้ปืนโต ทำให้ แมนฯ ซิตี้ เริ่มจะหมดมุกแล้วเหมือนกัน บุกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลเสียที ยิงไกลก็แล้ว ต่อบอลทำชื่งก็แล้ว
จนเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงนาทีบาปของเกมที่ดูเหมือนชัยชนะจะตกไปอยู่ทางฝั่งทีมเยือนอย่าง อาร์เซน่อล แต่จนแล้วจนรอดตัวสำรองอย่าง จอห์น สโตนส์ ลงสนามมารับบทฮีโร่ยิงประตูตีเสมอให้กับทีมได้สำเร็จ
สรุปสุดท้ายท้ายก็แบ่งกันไปคนละแต้ม ซึ่งเกมในนัดนี้ต้องยอมหัวรับจิตหัวใจของผู้เล่นทั้งสองทีมจริงๆ ฝั่งทีมเยือนอย่าง อาร์เซน่อล ก็ตั้งแผงเกมรับได้ดีเหลือเกินทั้งที่เหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ต้านทานทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านที่สุดใน พรีเมียร์ลีก อย่าง แมนฯ ซิตี้ ได้นานขนาดนี้ แม้ว่าผลการแข่งขันจะจบลงอย่างน่าเสียดาย แต่ไม่ควรค่าแก่การเสียใจเลยครับ เพราะนักเตะทุกคนพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ
ส่วนทางด้าน ซิตี้ เองก็ไม่ลดละความพยายามสู้สุดชีวิตเพื่อเอาประตูตีเสมอยันวินาทีสุดท้ายของเกม และนี่เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า การมาคว้าชัยที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม นั้นยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน
หากใครจะมองว่าเกมนี้เป็นเกมตัดสินแชมป์ ส่วนตัวผมคิดว่ายังเร็วเกินไปเพราะ พรีเมียร์ลีก ได้เดินทางมาเพียงแค่ 5 นัดเท่านั้น ยังเหลืออีก 33 นัดให้แฟนบอลชาวไทยได้ลุ้นกันยาวๆ
-บีเบลล์ กูนเนอร์-