เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.68) ในงาน FA Thailand Awards 2024/25 สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้มีการประกาศเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลคิงส์ คัพ ครั้งที่ 51 อย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ "จังหวัดกาญจนบุรี"
ถือว่าเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์พอสมควรที่ "กาญจนบุรี" เข้าป้ายได้เป็นเจ้าภาพคิงส์ คัพ ในครั้งนี้
ทั้งๆ ที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าจังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งสนามกีฬากลีบบัวที่จะใช้เป็นสังเวียนแข้งนั้นยังมีความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่พักที่ต้องเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่สามารถรองรับทีมงานนักกีฬา, แขกวีไอพี รวมทั้งฝ่ายจัดการแข่งขันได้
ตัวสนามเองก็ต้องมีการปรับปรุงหลายจุด ซึ่งเรื่องนี้เอง นพ.ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ปธ.สโมสรพลังกาญจน์ ที่เป็นโต้โผใหญ่ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพคิงส์ คัพ เป็นคนโพสต์เรื่องนี้เอง
ทำให้ทุกคนคิดว่าสงสัยกาญจนบุรี คงไม่ได้เป็นเจ้าภาพแน่ๆ และตัวเต็งก็กลายเป็นสงขลา ที่ปีที่แล้วทำผลงานได้ดีในเรื่องจัดการแข่งขัน รวมทั้งกระแสจากแฟนบอลก็ล้นหลาม ทีมชาติไทย ก็คว้าแชมป์ได้ด้วย
ซึ่งผมเองก็มีความมั่นใจเหมือนกับทุกๆ คนว่าจะเป็นสงขลา ก่อนที่จะไปถึงที่งาน แต่พอได้คุยกับเพื่อนๆ นักข่าวด้วยกัน ก็พอจะมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าจะเป็น "กาญจนบุรี" ที่แซงทางโค้ง ก็เลยเซอร์ไพรส์ในตอนนั้น แต่ก็ขอรอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกที
สุดท้ายก็ไม่ผลิกโผ ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรแล้ว คิดในใจแค่ว่า ข่าวที่ได้มาไม่มั่ว และก็เป็นเมืองกาญจน์จริงๆ ที่ได้เป็นเจ้าภาพ
ถ้าพูดถึงความพร้อมของกาญจนบุรี เมื่อเทียบกับอีก 2 จังหวัดที่เสนอตัวเหมือนกันอย่าง สงขลา และ เชียงใหม่ ก็ต้องยอมรับว่าเมืองกาญจน์ เป็นรองในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ในการเป็นเจ้าภาพคิงส์ คัพ ที่สองจังหวัดนั้นเคยจัดมาแล้ว สนามที่กาญจน์เองก็เล็กกว่ามาก ไหนจะเรื่องการเดินทาง ที่พักอะไรต่างๆ ที่ทั้งสงขลา และเชียงใหม่ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอยุ่แล้วก็ได้เปรียบกว่า
แล้วถามว่าอะไรที่ทำให้กาญจนบุรี สามารถเอาชนะใจสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และแซงหน้าปาดโค้งเข้าเส้นชัยในครั้งนี้
ถ้าในมุมความคิดเห็นส่วนตัวก็น่าจะเป็นเรื่องของการเปิดโอกาสให้จังหวัดที่ไม่เคยเป็นเจ้าภาพได้เป็นบ้าง อีกทั้งสมาคมฯ เองก็ต้องการจะสร้างกระแสแฟนบอลไทยให้ทั่วถึง ก่อนหน้านี้ เชียงใหม่ก็จัดบ่อยแล้ว สงขลา ก็เพิ่งจัดไป
ครั้งนี้ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นกาญจนบุรี ก็น่าจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และจังหวัดที่ไม่เคยเป็นเจ้าภาพก็น่าจะอยากโชว์ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่
เรื่องของสนามแข่งขันอาจไม่ใช่ปัญหา มีเวลาอีกเกือบๆ 2 เดือน น่าจะสามารถปรับปรุงให้พร้อมได้ รวมทั้งเรื่องของความจุสนาม ที่ตามรายงานของสมาคมฯ หลังไปตรวจสนามมาแล้ว มีความจุอยู่ที่ 7,800 ที่นั่ง (ที่นั่งที่มีเก้าอี้) ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีการต่อเติมอัฒจันทร์ และเพิ่มเติมเก้าอี้เข้าไปอีก อย่างน้อยๆ ก็น่าจะอัพเป็น 12,000 - 15,000 ที่นั่ง
ส่วนเรื่องที่พัก 5 ดาว คิดว่าตอนนี้ก็น่าจะเร่งดำเนินการให้พร้อมใด้ เพราะตอนแรกที่ติดปัญหาคือจำนวนห้องที่ไม่พอ แต่ในเมื่อได้เป็นเจ้าภาพแล้วคิดว่าน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้
และล่าสุดที่เพิ่งได้ทราบข้อมูลมาตามที่สื่อรายงานก็คือ ทางกาญจนบุรี มีการจ่ายค่าเซ็นสัญญาเพื่อคว้าสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ราวๆ 15 ล้านบาท ซึ่งนี่เองอาจเป็นไม้เด็ดที่ทำให้สมาคมฯ เลือกเป็นเจ้าภาพ
อีกทั้งตามที่ นพ.ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ให้สัมภาษณ์ว่าการได้เป็นเจ้าภาพครั้งนี้มาจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในจังหวัดที่อยากให้กาญจนบุรีได้เป็นเจ้าภาพ จึงร่วมมือช่วยเหลือกันให้มีความพร้อมที่สุด
คราวนี้ก็เหลือเรื่องการดำเนินการให้ทุกอย่างพร้อมสรรพก่อนการเป็นเจ้าภาพ และสุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับการดำเนินการเป็นเจ้าภาพ ว่าจะบริหารจัดการได้อย่างที่คาดหวังไว้ได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เราก็ต้องมารอดูกัน 1-9 กันยายนนี้ รู้เรื่อง
พูดถึงจังหวัดกาญจนบุรี กับภาพจำส่วนตัวของผมนอกจากที่จะเคยไปสะพานข้ามแม่น้ําแควสมัยตอนเรียนมัธยม อีกครั้งนึงก็ตอนมาทำข่าวฟุตบอลใหม่ๆ เมื่อปี 2009 ที่ได้ไปงานแถลงข่าวเปิดตัว "วัลซี่ จูเนียร์" กองหน้าคนใหม่ของทีโอที เอสซี และก็ได้ชมเกมไทยลีกในครั้งนั้นด้วย
นอกนั้นผมก็ไม่มีความทรงจำ หรือมีโอกาสได้ไปเหยียบเมืองกาญจน์อีกเลย หวังว่าปีนี้จะเป็นโอกาสดีที่ได้กลับไปเมืองกาญจน์อีกครั้ง เพื่อชมศึกฟุตบอลคิงส์ คัพ ในครั้งนี้
และหวังว่าจะเป็นฟุตบอลคิงส์ คัพ อีกครั้งนึงที่สร้างความประทับใจให้แฟนบอลไทยนะครับ แล้วเจอกันครับแฟนบอลชาวกาญจนบุรี!!