แม้ไทยจะจบด้วยความพ่ายแพ้ อดเข้าชิง ทุกคนเสียใจกับผลการแข่งขัน แต่ผลงานในสนามถือว่าทำได้ดีกว่าสองเกมแรก แพ้รายการนี้ไม่มีอะไรเสียหาย ทัวร์นาเม้นท์ต่อไปคือของจริง ที่ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด!!
ศึกฟุตบอลยู23 ชิงแชมป์อาเซียน 2025 เป็นครั้งที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของการจัดการแข่งขัน เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งไทยเราเป็นเจ้าภาพ และก็คว้าแชมป์มาครองได้เป็นทีมแรก หลังจากนั้นอีก 4 ครั้ง ในปี 2019, 2022 ที่กัมพูชา และ 2023 ที่ไทย ทีมช้างศึก ไม่ได้สัมผัสกับการเป็นแชมป์อีกเลย
โดย 4 ครั้งที่ผ่านมา ไทย ได้ไป 1 สมัย, อินโดนีเซีย 1 สมัย และสองครั้งหลังสุดแชมป์คือ เวียดนาม ที่ได้ไป 2 สมัยติดตอกัน และมีโอกาสจะคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันในครั้งนี้ด้วย ซึ่งก็จะเข้าไปชิงกับอินโดนีเซีย ก็มาชุ้นกันว่า อิเหนา จะคว้าแชมป์สมัยที่สอง หรีอจะเป็นทีมดาวทองที่เป็นแชมป์ 3 สมัยติด
ส่วนทีมชาติไทย ก็ไปลุ้นเอาเหรียญทองแดง มาเป็นรางวัลปลอบใจให้ได้แล้วกัน ในนัดชิงที่ 3 กับฟิลิปปินส์ วันจันทร์ที่ 28 ก.ค.นี้ อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจก่อนกลับมาเตรียมพร้อมเพื่อรายการใหญ่ต่อไปที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้
ก่อนจะไปว่าถึงทัวร์นาเม้นท์ต่อไปกับศึกยู23 เอเชี่ยน คัพ 2026 รอบคัดเลือก ขอกลับไปที่เกมเมื่อคืนสักนิดนึง ที่เราเจอกับอินโดนีเซีย ก่อนเกมมีแฟนบอลบางส่วนที่ค่อนขอดว่าไทยน่าจะเสร็จอินโดฯ แบบสู้ไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเห็นผลงานจากสองเกมแรกที่เล่นกันยังไม่ดีเท่าไหร่
แต่ผมเองก็บอกแล้วว่า อินโดนีเซีย ในรายการนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะดีไปกว่าไทย มีแค่เกมที่ถล่ม บรูไน 8-0 เท่านั้นเอง ที่ยิงเยอะ นอกนั้นก็ยิงได้แค่ประตูเดียวที่ชนะฟิลิปปินส์ 1-0 เจอมาเลเซีย ก็ได้แค่เสมอ 0-0 ดังนั้นหากไม่นับเกมกับบรูไน ผลงานของ อินโดนีเซีย กับ ไทย ก็ถือว่าสูสีกัน อาจจะได้เปรียบที่การเป็นเจ้าภาพแค่นั้น
และรูปเกมใน 90 นาที ก็เป็นเช่นนั้น มีช่วงที่อินโดนีเซีย ทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะครึ่งแรก ที่ครองบอลและเข้าทำได้จะแจ้งกว่า แต่ก็ยังเสมอกัน 0-0 ครึ่งหลังเป็นไทยบ้างที่หาจังหวะตัวเองเจอในการโต้กลับสวยๆ ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นประตูหลายครั้ง และมาทำได้สำเร็จจาก ยศกร บูรพา ในนาที 60 ซึ่งน่าเสียดายจากโอกาสน่ามี 2-3 ลูก ถ้าทำได้ก็เล่นสบายขึ้น
จากนั้นเราก็มาเน้นเกมรับ หลายคนบ่นบอกว่านำแล้วรับทำไม คือมันก็เป็นจังหวะของเกม ด้วยความที่เจ้าถิ่นต้องเปิดเกมบุกเอาประตูคืน เราก็ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับรอสวนกลับเป็นธรรมดา มันจะบุกและกันสองฝั่งเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกันถ้าอินโดขึ้นนำ เราก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่
จริงๆ เกมรับของเราเล่นกันได้ดีมีวินัย และเกือบจะยันอยู่แล้ว มาพลาดแค่จังหวะลูกโทษท้ายเกมลูกเดียวเท่านั้น น่าเสียดาย
พอมาถึงช่วงต่อเวลา ผมมองว่าเราทำได้ดีกว่าชัดเจน มีโอกาสเหน่งๆ 2-3 ครั้ง ที่ควรเป็นประตู แต่ทำไม่ได้ และเหมือนจะหมดแรงน้ำข้าวต้มไปด้วย เลยยิงไม่ค่อยมีทิศทางเท่าไหร่
สุดท้ายต้องมาวัดกันที่จุดโทษ ซึ่งก็มีดราม่ามากมาย กับการที่ อินโดฯ ได้ยิงใหม่ในคนที่สอง จากที่ยิงพลาดไปแล้ว แต่กรรมการบอกว่า ประตูของเราพุ่งออกมาก่อน รวมทั้งจังหวะของ ยศกร ที่ยิงไม่เข้า ก็เหมือนว่าประตูของอินโดฯ จะพุ่งออกมาก่อนเช่นกัน มีภาพช้าต่างๆ ออกมาแชร์กัน ซึ่งก็ว่ากันไปในกระแสโซเชี่ยล แต่สำหรับผมบอลมันจบไปแล้ว ไม่อยากจะไปพูดถึงเรื่องนี้อะไรให้มันมากความ
โอเคแม้เราจะแพ้จุดโทษ พลาดโอกาสเข้าชิง แต่สิ่งที่แฟนบอลทุกคนเห็นคือนักเตะทุกคนวิ่งสู้กันเต็มที่ และเล่นได้ดี น่าประทับใจกว่าสองเกมแรกมากๆ ซึ่งก็ถือว่าแฟนบอลโอเค และรับได้ แม้จะเสียดายที่อดเข้าชิงเท่านั้น
แม้จะชวดเข้าชิง แต่ก็ยังมีเกมนัดชิงที่สามให้ปลอบใจกับฟิลิปปินส์ วันจันทร์นี้ ก็หวังว่าเราจะได้เหรียญทองแดงปลอบใจก่อนกลับบ้าน
เรื่องของศึกชิงแชมป์อาเซียน 2025 จริงอยู่ว่าเราต้องการจะเป็นแชมป์ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะเป็นการเรียกความมั่นใจและต่อยอดกับรายการต่อไป โดยเฉพาะซีเกมส์ช่วงปลายปี แต่เมื่อทำไม่ได้ ผมก็มองว่าไม่ต้องไปซีเรียสอะไร ถือว่าเป้นทัวร์นาเม้นท์อุ่นเครื่อง และเตรียมทีมกันไป อีกอย่างก็ถือว่าโค้ชวัง จะได้เรียรรู้ลูกทีม และการเป้นโค้ชทีมชาติ รวมทั้งเกมระดับอาเซียนมากขึ้น
ซึ่งทัวร์นาเม้นท์ต่อไปถือว่าเป็นของจริง ที่จะมีผลต่ออนาคตทีมชาติไทยของเรา นั่นก็คือ ศึกยู23 ชิงแชมป์เอเชีย 2026 รอบคัดเลือก คราวนี้เป็นเกมระดับเอเชีย ความสำคัญก็คือเราจะต้องผ่านรอบคัดเลือกเพื่อไปเล่นรอบสุดท้ายที่ซาอุดิอาระเบีย ในปีหน้า 2026 ให้ได้ นี่คือเป้าหมายหลักของทีมชาติไทยชุดนี้
ในรอบคัดเลือก เราอยู่ในสาย F กับ มาเลเซีย, เลบานอน และ มองโกเลีย ซึ่งก็ถือว่าไม่หนักและไม่ง่ายจนเกินไป โดยรายการนี้มีทั้งหมด 11 กลุ่ม จะเอาทีมแชมป์กลุ่ม 11 ทีม บวกกับอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 4 ทีม เป็น 15 ทีม บวกกับ ซาอุดิอาระเบียเจ้าภาพ รวมเป้น 16 ทีมไปเตะรอบสุดท้าย
ซึ่งไทยเรามีโอกาสอันดีเพราะจะเป็นเจ้าภาพในรอบคัดเลือก กลุ่ม F นี้ โดยจะไปเตะกันที่ ทรู บีจี สเตเดี้ยม ระหว่างวันที่ 3-9 กันยายนนี้ ซึ่งก็ค่อยมาว่าเรื่องรายละเอียดของทัวร์นาเม้นท์นี้กันอีกครั้ง
ที่จะบอกก็คือในรอบคัดเลือกเอเชี่ยน คัพ ที่จะถึงนี้ ทีมชาติไทย ของเราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด จะต้องเป็น 1 ใน 16 ทีมที่ผ่านเข้ารอบไปให้ได้ จะเข้าเป็นแชมป์กลุ่ม หรืออินดับสองที่ดีที่สุด ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้ถือว่าล้มเหลว
จากนี้ก็จะมีเวลาให้กับ "โค้ชวัง" และทีมงานได้เตรียมความพร้อม คัดเลือกตัวผู้เล่น และวางแผนการเตรียมทีม เพื่อไปสู่เป้าหมายให้ได้
ส่วนปลายปีที่จะมีซีเกมส์ ซึ่งเราจะเป็นเจ้าภาพด้วย จริงอยู่ว่าซีเกมส์ ถ้าตามหลักแล้วไม่ได้เป็นทัวร์นาเม้นท์ที่มีผลอะไรกับแรงกิ้งฟีฟ่า หรือมีผลกับอนาคตของฟุตบอลไทย แต่มันเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของอาเซียน ยิ่งเราเป็นเจ้าภาพด้วย และไม่ได้แชมปืมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือปี 2017 ยุคโค้ชโย่ง
มันเลยกลายเป็นว่าซีเกมส์ 2025 นี้ ก็เหมือนจะเป็นไฟต์บังคับไปโดยปริยายว่าเราต้องแชมป์เท่านั้น ซึ่งถ้าทำได้ทุกคนก็จะแฮปปี้ และเราก้จะมีที่ยืนในอาเซียนอีกครั้ง และจะว่าไปซีเกมส์ดูจะยิ่งใหญ่กว่าชิงแชมป์อาเซียน ที่เตะอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าจะแก้ตัวที่ตกรอบรายการนี้ ก็ไปลุ้นเอาคืนในซีเกมส์ให้ได้
แต่อย่างที่บอกว่าความสำคัญของซีเกมส์ ต่อให้พลาดขึ้นมา จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรนอกจากเรื่องศักดิ์ศรี ต่างกับเอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก ที่รายการนี้พลาดไม่ได้เด็ดขาด!!
สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ นักฟุตบอลยู23 รวมทั้งทีมงานสตาฟฟ์โค้ชทุกท่าน เอาที่ 3 กลับมาให้ได้ แล้วกลับมาสู้กันต่อเพื่อพาทีมไปรอบสุดท้ายของเอเชี่ยน คัพ 2026 จากนั้นก็ไปเอาแชมป์ซีเกมส์มาให้ได้ เพื่อเป็นของขวัญให้แฟนบอลชาวไทย กับปีที่สาหัสเหลือเกินของประเทศไทยของเรา!!
#ชิชาริเต่า