ทีมชาติไทย ชุดยู23 จบภารกิจในศึกชิงแชมป์อาเซียน 2025 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เรียบร้อย ด้วยการคว้าอันดับที่สามมาครอง หลังเมื่อคืนที่ผ่านมา (28 ก.ค.68) เอาชนะฟิลิปปินส์ ไปได้ 3-1 ในนัดชิงอันดับสาม
ซึ่งเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา "โค้ชวัง" ถือว่าจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนาม จะขาดก็แต่เพียง เสกสรรค์ ราตรี กัปตันทีมที่เกมนี้เป็นตัวสำรอง ส่วนตัวหลักอย่าง ศรวัสย์ โพธิ์สมัน นายทวารหน้าหล่อ, พิชิตชัย เศียรกระโทก แนวรับที่แจ้งเกิดจากเกมที่แล้ว, สิทธา บุญหล้า เกมนี้สวมปลอกแขนกัปตันทีม, พลเอก มณีกร, พันธมิตร ประพันธ์ และ ยศกร บูรพา กองหน้าตัวเก่งลกันครบครัน
รูปเกมช่วงแรกเหมือน ฟิลิปปินส์ จะทำได้ดีกว่า แต่พอผ่านไปสัก 15-20 นาที ทีมชาติไทยของเราเริ่มตั้งเกมได้ และต่อบอลกันสวยๆ หลายครั้ง ก่อนจะมาขึ้นนำก่อน 1-0 ในครึ่งแรก ซึ่งพอได้ประตูขึ้นนำก็เหมือนเรามั่นใจมากขึ้น และเกือบได้ลูกสองก่อนจบ 45 นาทีแรกหลายครั้ง
ครึ่งหลังรูปเกมยังเป็นไทยที่ทำได้ดีกว่า มาได้ประตู 2-0 และคิดว่าน่าจะชนะได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่ ฟิลิปปินส์ ก็มามีฮึดเมื่อมาตีไข่แตกเป็น 1-2 แต่เราก็มาได้ประตูปิดท้าย 3-1 ก่อนจะชนะไปด้วยสกอร์นี้ ซึ่งก็ดูจะไม่ใช่งานที่ยากเย็นอะไรมากนักสำหรับขุนพลช้างศึก
การจบด้วยอันดับที่สาม ถือเป็นรางวัลปลอบใจสำหรับทีมช้างศึก ชุดนี้ น่าเสียดายที่เราไปพ่ายจุดโทษเจ้าภาพในรอบรองฯ ไม่งั้นได้เข้าชิงก็เชื่อว่ามีลุ้นแชมป์ แต่ก็โอเคกับอันดับสามในครั้งนี้
มาว่ากันที่ผลงานของทีมชาติไทย รวมทั้ง "โค้ชวัง" ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล กุนซือใหญ่ของทีม ที่มาประเดิมคุมทีมชาติในทัวร์นาเม้นท์นี้ ว่าสอบผ่านหรือไม่อย่างไร
ก่อนเดินทางมาแข่งขันเราตั้งเป้าที่จะเป็นแชมป์ แต่เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับว่าผลงานไม่เป็นไปตามเป้า แต่อย่างที่บอกไปในครั้งที่แล้วว่า สำหรับรายการชิงแชมป์อาเซียน แม้จะพลาดแชมป์ไป ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย อาจจะเสียดาย แต่เป้าหมายหลักของเราคือศึกชิงแชมป์เอเชีย 2026 รอบคัดเลือก ในเดือนกันยายนมากกว่า
ก่อนจะไปว่าที่เอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก เรากลับมาที่ผลงานชิงแชมป์เอเชียครั้งนี้กันก่อน พูดถึงโดยรวมทีมชาติไทย ออกสตาร์ทด้วยการชนะ ติมอร์ 4-0 ซึ่งอาจจะไม่ใช่ฟอร์มที่ดีนัก แต่ก็เอาชนะได้ตามเป้า และอีกอย่างเพิ่งเป็นเกมแรกด้วย นัดสองที่เสมอเมียนมา 0-0 โดนวิจารณ์เยอะ เพราะเล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่ ยิงคู่แข่งไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็เข้ารอบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มตามเป้า
มาถึงรอบรองกับ อินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นเกมที่ทีมชาติไทย เล่นได้ดี ได้ประตูขึ้นนำก่อน แต่สุดท้ายโดนตีเสมอ และแพ้จุดโทษไปอย่างน่าเสียดาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทีมช้างศึกก็ได้รับคำชม โดยเฉพาะการมีหัวใจนักสู้ และเล่นได้ประทับใจแฟนบอลพอสมควร
ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเกมชิงที่สามกับฟิลิปปินส์ ที่เหมือนจะเป็นเกมที่ไม่กดดันอะไร เพราะไม่ได้มีผลอะไรมาก แต่ก็พลาดไม่ได้เหมือนกัน เพราะถ้าแพ้ขึ้นมา ก็งานเข้าแน่นอน แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้แบบน่าพอใจ ด้วยสกอร์ 3-1 อย่างที่บอก
โดยรวมแล้วถือว่าทีมชาติไทย ก็ฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถามว่าสอบผ่านไหม ก็ถือว่าพอใช้แล้วกัน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่ได้แชมป์ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ ส่วนการประเดิมคุมทีมชาติครั้งแรกของ "โค้ชวัง" ก็ถือว่าเป็นทัวร์นาเม้นท์ที่ได้เรียนรู้นักเตะ และเรียนรู้ฟุตบอลอาเซียน ก่อนที่จะต้องเจอศึกใหญ่ของจริงในเอเชี่ยน คัพ 2026 รอบคัดเลือก และซีเกมส์ 2025 ที่เราเป็นเจ้าภาพปลายปีนี้
ก็ถือว่าเราได้ลองทีม และเป็นการเตรียมทีมที่ดี จากนี้โค้ชวัง และทีมงานก็ต้องกลับไปทำการบ้านหนักกันต่อ สำหรับศึกชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ต้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เราต้องผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในปี 2026 ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียให้ได้
เช่นเดียวกับในศึกซีเกมส์ แม้เราจะบอกว่าซีเกมส์ไม่สำคัญ แต่ปีนี้เราเป็นเจ้าภาพ บวกกับไม่ได้แชมป์มานานแล้ว ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากเหรียญทองเท่านั้น
หวังว่าน้องๆ นักเตะทีมชาติไทยชุดนี้ รวมทั้งทีมงานสตาฟฟ์โค้ชน่าจะได้อะไรกลับไปพอสมควรกับทัวร์นาเม้นท์นี้
และเราค่อยมาตัดสินกันอีกครั้งหลังจบเอเชี่ยน คัพ 2026 รอบคัดเลือก และซีเกมส์ 2025 ว่าทีมชาติไทย ชุดนี้สอบผ่านหรือไม่!!
#ชิชาริเต่า