logo-heading

ก่อนจะไปว่ากันถึงผลงานและเรื่องราวต่างๆ ในเกมนี้ ขอพูดถึงการจัดคิงส์ คัพ ครั้งแรกของเมืองกาญจน์กันก่อน ที่ต้องบอกว่าทำได้ดีเลยทีเดียว และต้องชื่นชมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านกับการจัดคิงส์ คัพ ฉบับกาญจนบุรี ในปีนี้

สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือการตอบรับจากแฟนบอลชาวเมืองกาญจน์ รวมทั้งแฟนบอลไทย จากจังหวัดอื่นๆ ที่ตามไปเชียร์กันอย่างคึกคัก จนเต็มความจุที่ทางเจ้าภาพจะรับไหวก็คือ 12,000 กว่าที่นั่ง ซึ่งในยอดสุทธิก็เข้ามาถึง 12,545 คน เลยทีเดียว บรรยากาศในสนามถือว่าสุดยอดมาก ทำให้คิงส์ คัพ ครั้งนี้ไม่กร่อย และภาพออกมาดีเยี่ยม ทั้งคนที่ดูจากถ่ายทอดสด และคนที่ดูที่สนาม

รวมทั้งการจัดการต่างๆ ก็ค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว และโชคดีที่สองเกมในวันนี้ ไม่มีพระพิรุณ ลงมาเยี่ยม เหมือนสองครั้งล่าสุดที่เชียงใหม่ และสงขลาเมื่อปีที่ผ่านมา ก็หวังว่าในนัดชิงชนะเลิศวันอาทิตย์นี้ อากาศจะดีเหมือนกับเกมนัดแรกที่เพิ่งจบไป

เอาล่ะมาว่ากันที่ผลงานของทีมชาติไทย ในวันนี้กันบ้าง ก็อย่างที่พาดหัวเลยว่าเป็นไปตามฟอร์ม ซึ่งก็คาดไว้อยู่แล้วว่าเราน่าจะผ่าน ฟิจิ ได้แบบไม่ยากเย็นอะไร แต่น่าเสียดายที่ชนะน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับโอกาสที่ได้ยิง โดยเฉพาะในครึ่งหลัง

เริ่มกันที่การจัดตัวก่อน จะว่าเซอร์ไพรส์ ก็ไม่ถึงกับเซอร์ไพรส์ขนาดนั้น เมื่อเซนเซอิชิอิ เลือกจัดตัวสำรองเป็นหลักในเกมนี้ ซึ่งก็เหมือนกับคิงส์ คัพ เมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งในเกมกับ อินเดีย ก่อนหน้านี้ในนัดอุ่นเครื่อง และเก็บตัวจริงที่เป็นตัวหลักเอาไว้ใช้ในนัดสอง ซึ่งก็คือนัดชิง

เมื่อหลายรายชื่อออกมา หลายคนก็บ่นอยู่เหมือนกัน เพราะอยากเห็นทีมชาติไทยจัดเต็มไปเลย ไม่ว่าจะเป็น มิคเกลสัน, ชนาธิป, สุภโชค และ ใจเด็ด แต่เราก็ต้องเข้าใจเซนเซ ด้วยว่าเกมนี้เจอกับ ฟิจิ ที่ไม่ได้แข็งอะไรมาก

อีกอย่างถ้าเราไม่ลองนักเตะคนอื่นๆ บ้างในเกมนี้ นักเตะเหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้สัมผัสเกมในคิงส์ คัพ ก็ได้ เพราะถ้าจัดชุดใหญ่ลงไป เกมนัดชิงก็ต้องจัดชุดใหญ่อีก ดังนั้นเกมนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองตัวสำรอง ได้ลองนักเตะหน้าใหม่บ้าง

ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน อย่าง ณัฐพงษ์ สายริยา ที่ประเดิมเกมแรกกับทีมชาติ ก็ทำได้ดีเลยทีเดียว มีลุ้นยืนตัวจริงนัดชิงด้วย เพราะ สุพรรณ เองก้มีอาการบาดเจ็บในเกมนี้

ตรงกลางคนที่ถูกวิจารณ์มากสุดอย่าง พีรดนย์ ซึ่งเกมนี้ก็คุมแดนกลางได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว ฐิติพันธ์ กลับมาติดทีมชาติ ก็ขยัน ทุ่มเท ตามสไตล์ แนวรุกถือว่ามีผลงานกันแทบทุกคน เอกนิษฐ์ ก็มีแอสซิสต์, เบน เบิกสกอร์แรก, ธีรศักดิ์ ยิงลูกสอง และ เจ้าฟรองซ์ ปรเมศย์ ก็ทั้งยิงทั้งจ่าย น่าเสียดายเกมนี้จะยิงได้มากกว่าหนึ่งประตู

ครึ่งหลังเรามีโอกาสเหน่งๆ จาก เจริญศักดิ์ อีก 3-4 ครั้ง น่าจะเปลี่ยนเป็นประตูได้สักลูก และเกือบได้ฉลองการยิงให้ทีมชาติในบ้านเกิดอยู่แล้วเชียว แต่ก็พลาดไป ที่เหลือก็ลงมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย ทั้ง วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด และ นิโคลัส มิคเกลสัน ส่วนกัปตันเจ เกมนี้ไม่ได้ลงสนาม

เกมกับฟิจิ บอกตามตรงว่าคงจะวัดอะไรไม่ได้มาก แต่การเจอกับทีมระดับนี้ แล้วเราเล่นได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น แถมชนะได้ 3 ประตูขึ้น ก็ถือว่าโอเค และน่าพอใจ 

ซึ่งเกมต่อไปก็คือนัดชิงชนะเลิศกับ อิรัก ในวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายนนี้ น่าจะเป็นบทพิสูจน์ของจริง ว่าทีมชาติไทย จะสอบผ่านในฟีฟ่าเดย์หนนี้หรือไม่

และอย่างที่เคยบอกไปว่าการเป็นแชมปืไม่ใช่คำตอบว่าเราสอบผ่านหรือไม่ แต่ถ้าเป็นแชมป์ได้ก็ดี แต่ก็อยากเห็นวิธีการและรูปเกมที่มันดีด้วยเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฟอร์มการเล่น การที่จะแพ้ อิรัก ซึ่งเป็นทีมที่อันดับดีกว่ามันเข้าใจได้อยู่แล้ว แต่แพ้แบบสู้ได้ แพ้แบบเล่นได้ดี อันนี้แฟนบอลรับได้อยู่แล้ว

ซึ่งก็หวังว่าเราจะทำผลงานได้ดีในนัดชิงชนะเลิศกับ อิรัก วันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการได้ล้างแค้นจากที่เคยแพ้มาเมื่อปี 2023 ในคิงส์ คัพ ครั้งที่ 49 ที่เชียงใหม่ ซึ่งเสมอกันในเวลา 2-2 ก่อนที่เราจะพ่ายจุดโทษ 5-4 

วันอาทิตย์นี้ ไว้มาเชียร์ทีมช้างศึก ไปด้วยกัน และมาดูว่าทีมชาติไทย จะป้องกันแชมป์คิงส์ คัพ สมัยที่ 17 ได้สำเร็จหรือไม่ และเจอกันครับผม ไทยแลนด์ ปู้นๆ

#ชิชาริเต่า 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline