logo-heading

เข้าสู่ปีที่สองของการกุมบังเหียนทัพช้างศึกของ “เซนเซอิชิอิ” ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีแรกที่เข้ามารับงานปลายปี 2023 ต่อด้วยต้นปี 2024 ประเดิมด้วยศึกเอเชี่ยน คัพ 2023 ที่เตะกันในปี 2024

กุนซือชาวญี่ปุ่น ประเดิมด้วยการพาทีมชาติไทย ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะไปแพ้ อุซเบกิสถาน แบบสู้ได้ 2-1 ตกรอบมาอย่างน่าเสียดาย

ซึ่งจากกาลศึกครั้งนั้น “อิชิอิ” ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก และถูกยกว่าจะมาเป็นผู้กอบกู้และสร้างทีมชาติไทย ยุคใหม่ ขึ้นมา

ต่อด้วยการพาทีมลงเตะฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก มีเกมที่สร้างความฮือฮาด้วยการบุกไปเสมอกับเกาหลีใต้ แต่สุดท้ายโชคก็ไม่นำพา ทีมช้างศึกตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกไปก่อน

มาถึงจุดสำคัญในศึกอาเซียน คัพ 2024 ซึ่งก่อนหน้านี้เราเป็นแชมป์มา 2 สมัยติด ตอนที่ มาโน่ คุมทัพ แต่ในอาเซียน คัพ 2024 เราได้แค่รองแชมป์ โดยแพ้ให้กับเวียดนาม คู่ปรับในรอบชิงชนะเลิศ 

หลังจากได้รองแชมป์อาเซียน คัพ แน่นอนว่าแฟนบอลก็ผิดหวัง แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ ว่าอาเซียน คัพ มันไม่ได้สำคัญอะไรมาก เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีมากกว่า ดังนั้นควรมามุ่งมั่นตั้งใจกับทัวร์นาเม้นท์อย่างเอเชี่ยน คัพ 2027 รอบคัดเลือก 

ซึ่ง อิชิอิ และทีมงานก็เหมือนจะมีแนวทางชัดเจนหลังจากจบอาเซียน คัพ ว่าจะมีการสร้างทีมชุดใหม่ขึ้นมา โดยจะเน้นเรียกนักเตะเพื่ออนาคตมากกว่านักเตะตัวเก๋า เพื่อสร้างทีมต่อยอดไปฟุตบอลโลก 2030 (ซึ่งยังไม่รู้ว่า อิชิอิ จะได้คุมทีมชาติไทยไปถึงตรงนั้นหรือเปล่า)

ดังนั้นเราจะเห็นว่าช่วงหลังๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2025 มานี้ การเรียกตัวของ อิชิอิ ดูจะขัดใจแฟนบอลอยู่ไม่น้อย เมื่อไม่มีชื่อของนักเตะตัวเก๋ามากประสบการณ์หลายๆ คน โดยที่ถูกพูดถึงมากสุดก็คือ ธีราทร บุญมาทัน ชื่อที่ออกมาแต่ละครั้ง ก็จะมีคำถามเกิดขึ้นตลอด แต่ อิชิอิ ก็จะย้ำเสมอว่าต้องการสร้างทีมเพื่ออนาคต เป้าหมายคือบอลโลก 2030

มาล่าสุดในคิงส์ คัพ ที่เพิ่งจบไป โอเคละว่าเราก็ไม่ได้เล่นแย่อะไร ก็มีบางมุมที่ดูดีกว่าตอนไปแพ้เติร์กเมนิสถาน แต่โดยรวมส่วนตัวผมว่าก็ยังไม่น่าประทับใจอยู่ดีเกี่ยวกับฟอร์มการเล่น

แต่โอเคละว่าคิงส์ คัพ มันก็คือเกมอุ่นเครื่อง และการเจอกับอิรัก ที่อย่าลืมว่าอันดับโลกเขาก็ดีกว่าเราเกือบครึ่ง ศักยภาพนักเตะเขาก็สูงกว่า การแพ้ 0-1 มันก็ไม่ใช่สกอร์ที่แย่อะไร แถมเราก็พอสู้ได้อยู่บ้างในเกมล่าสุด แม้โดยรวมจะเป็นรองก็ตาม แต่แค่มันน่าเสียดายเพราะเกมนัดชิงคิงส์ คัพ เท่านั้นเอง

ถ้าตัดความเป็นคิงส์ คัพ ก็คือเกมอุ่นเครื่องฟีฟ่าเดย์เกมนึง ที่เราก็เน้นนั้นแหละ เพื่อทำอันโลกให้มันดี กลับขึ้นไปอยู่เหนือกว่าท็อปร้อยให้ได้ 
แต่ก็อย่าลืมว่าเกมอุ่นเครื่องแบบนี้ ก็เป็นโอกาสที่จะให้ผู้เป็นกุนซือได้ลองผิดลองถูก ได้เรียกนักเตะเข้ามาทดสอบ ทดลองระบบ รูปแบบการเล่นใหม่ๆ ที่เตรียมไว้กับเกมจริงในเือนหน้าตุลาคมนี้

ซึ่งเราก็จะเห็นว่า อิชิอิ ลองอะไรใหม่ๆ เยอะเลยในคิงส์ คัพ ครั้งนี้ ทั้งเรื่องระบบ 4-3-3 ที่มีตัวรุก 2 คน ตัวรับ 1 คน การใช้กองหน้ามายืนตัวรุกด้านข้าง แทนที่จะเป็นหน้ากึ่งปีก รวมทั้งเอาหน้ามาเป็นตัวรุกตรงกลาง อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็คือลองผิดลองถูก 

เพียงแต่ผลการแข่งขันมันไม่มา และทีมชาติไทย ก็จบไม่คมเองด้วย สุดท้ายพอแพ้ กระแสมันก็เลยต้องเป็นแบบนี้

ซึ่งตอนนี้ก็มีแฟนบอลบางกลุ่มที่เริ่มไม่โอเคกับการทำงานของ อิชิอิ แล้ว และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง

แต่แน่นอนว่ามันคงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะ อิชิอิ เองก็ยังไม่ได้ทำผลงานอะไรที่มันเข้าตาเสียจนต้องปลด ณ ตอนนี้เลย เขายังมีความชอบธรรมในการที่จะคุมทีมช้างศึกต่อไป

แต่เกมสำคัญที่จะชี้ชะตาอนาคตของเซนเซ ก็อีกไม่นาน จะมาในเดือนหน้านี้ กับเอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก ที่เราจะต้องเจอ ไต้หวัน 2 เกมติด 9 ต.ค. เล่นในบ้าน และออกไปเยือน 14 ต.ค.นี้

สถานการณ์ล่าสุด เราชนะ ศรีลังกา มา 1 นัด และแพ้ เติร์กฯ มา 1 นัด มีอยู่ 3 แต้มจากสองนัด อยู่ที่สองของกลุ่ม D แต้มเท่าศรีลังกา ซึ่งรอบคัดเลือกรอบนี้ ความโหดก็คือเอาเฉพาะแชมป์กลุ่มทีมเดียวเท่านั้นไปเตะรอบสุดท้าย

ดังนั้นโจทย์ของทีมชาติไทย ก็คือ การเจอกับไต้หวัน สองนัดที่จะถึงนี้ ต้องชนะให้ได้ทั้งสองนัด เก็บ 6 แต้มเต็ม เพื่อให้ยังอยู่ในเส้นทางของการลุ้นจบแชมป์กลุ่มต่อไป แต่ถ้าดันทะลึ่งแพ้เกมใดเกมนึงละก็ เราน่าจะตกรอบแน่นอน

และถ้าไทยตกรอบ นั่นหมายความว่าเตรียมเปลี่ยนกุนซือใหม่ได้เลย

สองเกมกับไต้หวัน จึงเป็นภารกิจที่เซนเซอิชิอิ จะต้องพาทีมชนะให้ได้ทั้งสองนัด เพื่อต่ออายุในตำแหน่งกุนซือช้างศึกออกไป แล้วไปว่ากันต่อในสองเกมสุดท้ายกับ ศรีลังกา และปิดท้ายที่เกมพบ เติร์กเมนิสสถานในบ้าน ที่จะเตะกันมีนาคมปีหน้า

ซึ่งสองเกมสุดท้ายนี้ก็พลาดไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายแล้วเราต้องจบแชมป์กลุ่มและต้องไปเล่นรอบสุดท้ายให้ได้ นั่นคือเป้าหมายสำคัญ

แน่นอนว่าถ้าท้ายที่สุดแล้วเราไม่ได้ไปเอเชี่ยน คัพ 2027 ที่ซาอุดิอาระเบีย ก็จะมีการเปลี่ยนโค้ชแน่นอน แต่ถึงต่อให้ได้ไปเตะรอบสุดท้ายก็ใช่ว่ากุนซือทีมชาติไทย จะเป็น “มาซาทาดะ อิชิอิ”

เพราะในอดีตที่ผ่านๆ มา โค้ชที่คุมทีมเตะรอบคัดเลือก และพาทีมไปเอเชี่ยน คัพ ได้ รอบสุดท้ายได้ มักจะไม่ได้คุมทีมต่อ อย่างตอนโค้ชซิโก้ พาทีมไปเอเชี่ยน คัพ 2019 แต่เป็น ราเยวัช ที่คุมทีมรอบสุดท้าย
และในเอเชี่ยน คัพ 2023 ล่าสุด มาโน่ โพลกิ้ง เป็นคนคุมทีมรอบคัดเลือก ไทยเข้ารอบ แต่เป็น อิชิอิ ที่คุมทีมในเอเชี่ยน คัพ รอบสุดท้าย

ซึ่งส่วนใหญ่การเปลี่ยนแปลงกุนซือทีมชาติไทย ก็จะมาในช่วงที่ตกรอบฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ต่อด้วยเอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก และเราก็จะได้โค้ชคนใหม่ในเอเชี่ยน คัพ รอบสุดท้ายเสมอ

ก็มารอดูกันว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยหรือเปล่า แต่หลักๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของดวงหรือประวัติศาสตร์อะไรหรอก 

มันอยู่ที่ผลงานล่าสุด ณ เวลานั้น ถ้าคุณพาทีมไปรอบสุดท้ายได้ และรูปแบบ วิธีการเล่น มันดูดีมีอนาคต แฟนบอลยังหนุนหลัง คุณก็มีโอกาสที่จะได้ทำทีมต่อ

แต่ถ้าทำไปแล้วแค่พอเอาตัวรอด และมันเริ่มดูไม่มีอนาคต มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา 

เอาเป็นว่าดูกันไปทีละสเต็ป เริ่มจากเดือนตุลาคมนี้ กับสองเกมกับ ไต้หวัน มาดูว่าผลงานของทีมชาติไทย จะเป็นยังไง จะได้ลุ้นต่อไหม ในเอเชี่ยน คัพ 2027

แล้วค่อยมาว่ากันต่อกับอนาคตของ “มาซาทาดะ อิชิอิ”!!

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline