logo-heading

ย้อนกลับไปปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนสถานการณ์โควิด 19 จะบานปลาย ผมไปนั่งอ่านรีวิวหนังเรื่องหนึ่ง ผมเกิดความสงสัยบางอย่าง ทำไมถึงเอาประเด็นมาขยี้ เอาห้วงความรู้สึก เอาประโยคมาเล่นจนผมรู้สึกว่า ทำไมเยอะวะ ผมเก็บความสงสัยตรงนั้น แล้วไปหาหนังเก่าของพี่คงเดช จาตุรันต์รัศมี ในปี 2015 มาดู

Snap แค่ได้คิดถึง เป็นเรื่องราวของคน 2 คนที่มีความหลังไม่ได้ร่ำลากัน ทั้งที่ต่างฝ่ายมีความรู้สึกดีให้แก่กัน 8 ปีผ่านไปทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้งในงานแต่งเพื่อนร่วมห้องที่จันทบุรี ผมดูเรื่องนี้9 ครั้งเพื่อทำความเข้าใจเก็บรายละเอียดสิ่งที่ผู้กำกับสื่อสาร มันเป็นหนังรักที่มีภาพและวิธีการเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติ โดยที่เต็มไปด้วยความรู้สึกถวิลหาความทรงจำในวัยเรียนที่สูญหายไปอีกครั้ง ผมล้าหลังมากกับการดูหนังเรื่องนี้ทั้งที่ฉายในโรงหนังไปแล้ว 4 ปี แถมได้ไปเทศกาลหนังที่ญี่ปุ่นและฮอลแลนด์ ตอนมานั่งดูตัวอย่าง มันเต็มไปด้วยคำพูดที่จุกอก แล้วก็เกิดคำถามในใจว่าตกหลุมรักหนังฮิปสเตอร์เรื่องนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว ข้อดี “นี่มันผ่านไป 8 ปีแล้วหรอวะ ทำไมรู้สึกมันนานกว่านั้นวะ” คำพูดนี่แหละที่ทำให้ผมเลือกจะชมและย้อนกลับมาดูตัวเองทันที บางอย่างผมก็ไม่เคยก้าวผ่านไปได้เลยสักครั้งในสิ่งที่ผมไม่ชอบ มนุษย์เรามีรักแรกที่ไม่ค่อยสมหวัง แต่ส่วนใหญ่คนเรามักจดจำรักแรกได้ไม่รู้ลืมแม้ว่ามันจะผ่านมานานแล้วก็ตาม รักแรกไร้เดียงสา เจ็บปวดไม่มาก เหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะว่าความทรงจำเก่าๆ มันกลับมีแง่มุมที่สวยงามมากกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หนังใช้ระยะเวลา 8 ปีของรัฐประหารมาเชื่อมโยงบทหนัง ปี 2549 และ 2557 ทำให้ 2 ตัวละครหลักที่ห่างหายไปกลับมาเจอกันในงานแต่งเพื่อนร่วมห้องที่จันทบุรี โดยที่พระเอกเป็นช่างภาพให้ ส่วนนางเอกมาในฐานะเพื่อสนิทเจ้าสาว การกลับไปจันทบุรีในหนนี้นอกจากรียูเนียนแล้ว นางเอกต้องการกลับไปตามหาความทรงจำชีวิตในวัยมัธยมที่สูญหายไปให้กลับมาอีกครั้ง เธอมีพ่อเป็นทหารต้องจากเพื่อนไปก่อนจบม.6 .ในปี 2549  ไม่มีรูปในหนังสือรุ่นเพระย้ายโรงเรียนไปก่อน เธอสนิทกับผู้ชายเงียบๆคนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูป แต่กลับไม่ได้บอกลากัน สิ่งที่หนังสื่อสารออกมาคือเรื่องการกลับไปตามหาความทรงจำเก่าๆในวัยเรียนที่หายไป  พระเอกกับนางเอกเติบโตขึ้นพวกเขา ตามหาความชีวิตในช่วงนั้นอีกครั้ง เช่นสถานที่ที่เคยไป เสียงเพลง พยายามทวงคำสัญญาจากภาพถ่าย เพียงแต่ระยะเวลาที่ห่างไปนาน ผู้ชายไม่ได้โหยหามากอย่างที่คิด แต่กลับเป็นฝ่ายผู้หญิงที่คิดถึงพระเอกตลอด โดยตลอดทั้งเรื่องหนังใช้คำพูดแทนอารมณ์ความรู้สึกที่เล่นเอาจุกอกมาก เป็นการนำเสนอได้ธรรมชาติไม่ฟูมฟายเลย มีเสน่ห์จนผมประทับใจในสิ่งที่พี่คงเดชทำกับหนังเรื่องนี้ อีกจุดหนึ่งคือชอบโลเคชั่นการถ่ายทำที่จันทบุรีมาก ทั้งอำเภอท่าใหม่ และแหลมสิงห์ เรียบง่ายเป็นธรรมชาติมากๆ แถมเพลงที่ถูกใส่ไว้ในตัวหนังของทั้งค่าย Bakery และ Smallroom ซึ่งช่วยทำให้หนังได้อารมณ์ห้วงความรู้สึก จนคิดถึงวัยมัธยมมากตอนที่ผมเรียนสวนกุหลาบแล้วไปตกหลุมรักเด็กศึกษานารีและสตรีวิทย์ นักแสดง โทนี่ รากแก่น แสดงเป็นบอย ช่างภาพ ชอบคาแรกเตอร์ของเขาในหนัง คือดูเป็นผู้ชายที่ดูเรียบง่ายนิ่งเงียบ เก็บงำซ่อนความรู้สึกไว้ในจิตใจ ทำตัวไปวันๆ ไร้ซึ่งจุดหมายที่ชัดเจนในชีวิต แต่ดันเป็นคนวางเฟรมการถ่ายรูปได้ดีกว่าคนทั่วไป คือชอบลุคของพี่แกเวลาจับกล้องถ่ายรูปคือคูลวะ อิ้งค์ วรันธร นักร้องสาวเจ้าหญิงซินธ์ป็อบ เธอแสดงเป็นผึ้งได้แนบเนี๊ยบมาก คือถ้าไม่บอกว่าไม่เคยแสดงหนังมาก่อน ผมคงไม่เชื่อ เพราะตลอดการแสดงทั้งเรื่อง เธอเล่นได้เหลือล้น ในซีนดราม่าสะเทือนอารมณ์นี่ยอมเลยว่า ทำได้ไม่แพ้นางเอกละครไทยหลังข่าวเลยละ กลุ่มนักแสดงสมทบที่เล่นเป็นเพื่อนของโทนี่ และอิงค์ วรันธร ค่อนข้างกลมกลืนไม่น่าเชื่อว่าอายุห่างกันมากในชีวิตจริง แต่พวกเขาเล่นกันเข้าขากัน ต้องชื่นชมพี่คงเดช ที่จับนักแสดงมาทำความรู้จักในช่วงเวิร์คช็อป ทำให่เวลาแสดงจริง ตัวละครไม่มีความเขินอาย ส่งอารมณ์ ต่อบทกันเหมือนเรื่องราวจริงๆ ข้อเสีย หนังเรื่องนี้มีความไม่แน่นอนในเรื่องของอารมณ์อยู่หลายๆซีน เพราะหนังไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เลยทำให้บางครั้งผมรู้สึกแปลกๆ สรุป ชอบความเป็นธรรมชาติในตัวหนังมาก มันเต็มไปด้วยคำพูดที่จุกอก นักแสดงนำเล่นได้เป็นธรรมชาติหนังที่อัดแน่นทั้งอารมณ์และความรู้สึกรักแรกในวัยเรียนมันสวยงามเสมอ ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้นเลยละ
logoline