logo-heading
ในช่วงสัปดาห์นี้เราคงจะได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับประเด็นดราม่าสงครามน้ำลายระหว่าง ปอล ป็อกบา และ แกรม ซูเนสส์ ที่เหน็บกันไปมาในเรื่องของความสำเร็จซึ่งเกิดจากการที่ ปอล ป็อกบา ออกมากล่าวผ่านรายการของสโมสรว่าเขาไม่ได้รู้จัก แกรม ซูเนสส์ ที่คอยวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาไม่ว่าจะเป็น ทัศนคติ การแต่งตัว ฟอร์มการเล่น และทรงผม มานานหลายปี เขารู้ ว่า ซูเนสส์ เป็นเพียงนักเตะที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อได้ยินแบบนี้เล่นเอา แกรม ซูเนสส์ หัวร้อนผ่าวออกมาต่อความยาวสาวความยืดจวกกกลับแข้งรายนี้ โดยมี เจมี คาร์ราเกอร์ ออกมาผสมโรงช่วยจวกอีกด้วย ในปัจจุบันเรารู้จัก ซูเนสส์ ในฐานะกูรูของ สกายสปอร์ตส์ และ เดอะ ไทม์ส 2 สื่อชื่อดังของเมืองผู้ดี ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่มักจะออกมาวิจารณ์ ป็อกบา อยู่บ่อยครั้ง ว่าทำผลงานได้น่าผิดหวังไม่สมกับค่าตัว หลังจากที่ดาวเตะชาวฝรั่งเศส มีฟอร์มไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร และเพิ่งได้แชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แค่ 2 รายการ นั่นคือ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก กับ ลีกคัพ ในฤดูกาล 2016/17 ซึ่งก่อนที่เขาจะผันตัวมาเป็นกูรู เขาคือหนึ่งในยอดมิดฟิลด์ ขุนพลที่ดีที่สุดในยุค 80 ของ เครื่องจักรสีแดง ลิเวอร์พูล นอกจากนี้ยังเคยนั่งแท่นกุนซือ ลิเวอร์พูล มาแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่ประสบความสำเร็จกับการเป็นกุนซือเท่าไหร่นัก แถมยังพาสโมสรด่ำดิ่งลงเหว แต่หากพูดถึงสมัยเป็นผู้เล่นแล้ว ซูเนสส์ คือหนึ่งในตำนานแถวหน้าของสโมสร ที่ช่วยทีม ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์มามากมายนับไม่ถ้วน วันนี้ขอบสนามจะพาไปรู้จักความยิ่งใหญ่ของตำนานมิดฟิลด์รายนี้กัน ประวัติส่วนตัว แกรม ซูเนสส์ หรือชื่อเต็มว่า แกรม เจมส์ ซูเนสส์ เกิดที่ เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ เข้าเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกัล อะคาเดมี่ ไทน์แคสเทิ่ล บอยส์ คลับ ใน เอดินบะระ จากนั้นก็เดินหน้าสู่เกาะอังกฤษ ด้วยการเป็นเด็กฝึกของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพในวัย 15 ปี อย่างไรก็ตามเขาต้องผิดหวัง เมื่อไม่ค่อยได้รับโอกาสติดทีมชุดใหญ่เท่าไหร่นัก แม้ว่าโค้ชจะชื่นชมว่าเขาคือนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีในเวลานั้น ก่อนที่ฤดูร้อนปี 1972 เขาย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับสโมสร มอนเทรอัล โอลิมปิก ใน ซอคเกอร์ ลีก อเมริกาเหนือ ซึ่งเขาได้ลงสนามถึง 10 เกมจาก 14 เกมที่ทีมลงแข่งขัน และได้มีชื่ออยู่ในทีมออลสตาร์ฤดูกาลนั้น หลังจากที่หมดสัญญายืมตัว เขาก็ถูกปล่อยตัวให้ไป มิดเดิ้ลสโบรช์ ด้วยค่าตัว 30,000 ปอนด์ ผลงานที่เป็นที่สุดของเขากับ "เดอะ โบโร่" คือเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล ด้วยการระเบิดฟอร์มแฮตทริกใส่ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ช่วยทีมชนะไป 8-0 แถมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมป์ดิวิชั่น 2 ย้ายมาสร้างตำนานที่ ลิเวอร์พูล ปี 1978 แกรม ซูเนสส์ ได้โอกาสสร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองด้วยการที่ บ๊อบ เพสลี่ย์ หนึ่งในยอดปรมาจารย์ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ดึงตัวเขามาเสริมทัพแทนที่ ตำนาน ลิเวอร์พูล อย่าง เอียน คัลลาแกน ด้วยค่าตัว 350,000 ปอนด์ ก่อนที่เขาจะได้ลงสนามเป็นนัดแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกที่บุกไปเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-0 ถึงสนาม เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 1978 จากนั้น 1 เดือนถัดมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1978 เจาก็เบิกร่องประตูแรกของตัวเองได้สำเร็จ ในเกมลีกช่วย ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ในถิ่นแอนฟิลด์ ขึ้นแท่นกัปตัน เขากลายเป็นกองกลางตัวหลักของทีม มีส่วนสำคัญในคว้าแชมป์ให้กับ ลิเวอร์พูล ในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1978 พบกับ เอฟซี บรูกส์ ที่สนาม เวมบลี่ย์ ด้วยการจ่ายบอลให้กับ เคนนี่ ดัลกลิช ยิงประตูชัยในนาทีที่ 64 ประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนั้น จากนั้นเขาก็เดินหน้ากวาดแชมป์ร่วมกับ ลิเวอร์พูล ทั้งแชมป์ลีก ในฤดูกาล 1978/79 และ 1979/80, แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1981 ซึ่งเขามีส่วนสำคัญกับการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ของทีม โดยซัดแฮตทริกใส่ ซีเอสเคเอ โซเฟีย ในการแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้าย จากความสำเร็จของทีมและผลงานอันยอดเยี่ยมของเขา ทำให้ เพสลี่ย์ ตัดสินใจมอบรางวัลอันทรงเกียรติสวมปลอกแขนกัปตันทีม ในฤดูกาล 1981/82 และแน่นอนไม่ทำให้ผิดหวัง ซูเนสส์ พา ลิเวอร์พูล เดินหน้าล่าแชมป์ต่อเนื่อง ในปี 1984 ซูเนสส์ ช่วยทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ด้วยการเป็นผู้ทำประตูชัยในเกม ลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศนัดรีเพลย์ พบกับ เอฟเวอร์ตัน ที่สนาม มายน์ โร้ด ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบชิงของทั้งสองทีมจากย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์อีกด้วย จารึกชื่อในประวัติศาสตร์สโมสร ช่วงเวลาตลอด 7 ฤดูกาลในถิ่น แอนฟิลด์ ซูเนสส์ พาทีมประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 5 สมัย, แชมป์ ลีกคัพ 4 ครั้ง, แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 3 หน และแชมป์ แชร์ริตี้ ชิลด์ 3 สมัย ก่อนสิ้นสุดการค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ในปี 1984 จารึกสถิติลงสนามทั้งสิ้น 359 เกม ยิงไป 55 ประตู เขาอำลาจากสโมสรและโยกไปเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย ในอิตาลี ด้วยค่าตัว 650,000 พร้อมพาทีมได้แชมป์ โคปปา อิตาเลีย ด้วยการเอาชนะ เอซี มิลาน 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศ และทำให้พวกเขาคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย จากนั้นเขาตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร ซามพ์โดเรีย ในปี 1986 เข้ามารับตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมให้กับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ส่งตัวเองลงสนามไป 50 เกมในลีกด้วยกัน ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1991 ด้วยวัย 38 ปี การกลับมารับตำแหน่งกุนซือ หลังจากที่ เคนนี่ ดัลกลิช ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกะทันหัน จากความกดดันที่เจ้าตัวต้องเจอผลกระทบจากโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโร่ วันที่ 15 เมษายน 1991 แกรม ซูเนสส์ ซึ่งทำผลงานได้ดีในการคุม เรนเจอร์ส เขาได้รับข้อเสนอจาก ลิเวอร์พูล ให้กลับมารับงานยังถิ่น แอนฟิลด์ อีกครั้ง ในฐานะกุนซือของทีม แน่นอนเขาตอบตกลงแบบไม่ลังเล จรดปากกาเซ็นสัญญา 5 ปี แต่ทว่าน่าเสียดายที่การกลับมาคุมทีมของเขาในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์ มันไม่สดใสเหมือนครั้งเขาสร้างชื่อเป็นตำนานกัปตันทีมของสโมสร อดีตห้องเครื่อง ลิเวอร์พูล ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมเยอะพอสมควรชนิดที่เปลี่ยนแปลงทีมเร็วเกินไป โดยเฉพาะการกว้านซื้อนักเตะเข้าทีม ไม่ว่าจะเป็น ดีน ซอนเดอร์ส ด้วยค่าตัว 2.9 ล้านปอนด์ ปราการหลัง มาร์ค ไรท์ และ ร็อบ โจนส์ รวมไปถึง มาร์ค วอลเตอร์ส กองกลางจาก อาร์เซน่อล แต่กลายเป็นว่าผลงานของ ลิเวอร์พูล แชมป์ลีกฤดูกาลก่อนทำได้เพียงจบอันดับที่ 6 ของตารางคะแนน พา ลิเวอร์พูล ลงเหว ด้วยความทีมถูกตั้งความหวังไว้สูง เขาต้องเจอกับความกดดันอย่างหนักตลอดช่วงอาชีพกุนซือ แต่ทว่าตลอดระยะเวลา 3 ปี ภายใต้การกุมบังเหียนของผู้จัดการทีมอารมณ์ร้อน ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล เดินเข้าสู่ยุคตกต่ำ ซูเนสส์ ถูกตราหน้าว่ามือไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการแก้เกมที่ย่ำแย่, การซื้อตัวที่ล้มเหลว และการจัดการทีมแบบไร้คลาส ท้ายที่สุดด้วยผลงานยอดแย่ ที่ดูจะกู่ไม่กลับ ซูเนสส์ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ในแบบที่ไม่มีความประทับใจฝากไว้ให้กับแฟนบอลแม้แต่น้อย สิ่งที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้ คือการพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เมื่อปี 1992 กับการปลุกปั้น สองแข้งดาวโรจน์ อย่าง สตีฟ แม็คมานามาน กับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ แต่เขาก็ไม่ได้รับการจดจำว่าเป็นผู้ปั้น 2 แข้งสไปซ์บอยนี้ขึ้นมาอยู่ดี ซึ่งหลังจากที่เขาออกจากตำแหน่งกุนซือ ลิเวอร์พูล ก็ยังวงเวียนอยู่กับการเป็นกุนซือแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น กาลาซาตาราย, เซาธ์แฮมป์ตัน, โตริโน่, เบนฟิก้า, แบล็คเบิร์น ก่อนจบอาชีพกุนซือกัลบ นิวคาสเซิ่ล และผันตัวเป็นกูรูวิเคราะห์ฟุตบอลแทน นี่คือเรื่องราวบางส่วนของตำนานห้องเครื่องแอนฟิลด์อย่าง แกรม ซูเนสส์ ถึงแม้ว่าช่วงเวลาอาชีพกุนซือ 3 ปีที่เขากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เป็นด้านมืดที่แฟนบอลไม่ค่อยอยากจดจำเท่าไหร่ แต่ในฐานะนักเตะเขาคือยอดมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดแห่งยุค ตำนานระดับแถวหน้าของสโมสรแห่งนี้ - เปี๊ยกบางใหญ่ -
logoline