logo-heading

เคยมีความสงสัยไหมว่าทำไมนักฟุตบอลคน1 ไปได้สวยกับสโมสร 1 แต่พอย้ายทีมกลับไปไม่รุ่ง มันเป็นเรื่องที่เรายังหาคำตอบไม่ได้มากหนัก อุปสรรคมากมายทั้งในสนามและนอกสนามค่อยกดดันทำให้บางคนไปไม่สุด

ไทยลีกมีแข้งนอกเดินหน้ามาโกยเงินบาทมากมายตลอดระยะเวลากว่า 11 ปี ตั้งแต่มีการจดทะเบียนจัดตั้งลีกอาชีพ บางคนใช้เป็นใบเบิกทางไปเล่นในลีกชั้นนำ บางคนใช้เป็นที่สถาปนาตัวเองให้กลายเป็นนักเตะดาวดังในแดนสยาม แต่กลับมีอยู่คน 1 ที่ไปไม่รุ่งในไทยลีกแต่กลับเฉิดฉายในลีกญี่ปุ่นได้สบายๆ คนที่เราว่ามานี้คือเจย์ โบธรอยด์ กองหน้าเท้าหนัก อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ขอบสนามเลยอยากมาไขสาเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่รุ่งในบ้านเรา แต่กลับไปแจ้งเกิดที่ญี่ปุ่น เนื้อหาทุกอย่างพร้อมแล้วเชิญเลื่อนเมาท์ไปอ่านเลยจ้า 1.ไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่ายเกิน ประเทศไทยสำหรับคนต่างชาติคือสวรรค์ ค่าครองชีพที่ถูก แหล่งท่องเที่ยวมีเยอะแยะมากมาย พวกนักบอลต่างชาติที่แจ้งเกิดในไทยลีก จึงมักรักความสบายในบ้านเรา ไม่อยากย้ายออกไปไหน ผิดกับเจย์ โบธ ที่อยู่แบบชิวๆเกินไป จนไร้แรงจูงใจ ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งที่แท้จริงออกมา มีช่วงหนึ่งที่เขาอยู่กับเมืองทอง มีข่าวลือเรื่องโดนยกเลิกสัญญาอยู่หลายๆครั้ง ซึ่งมันก็พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าแวดล้อมของบ้านเรา มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของแข้งชาวเมืองผู้ดี 2.ความกดดัน การที่เจย์ โบธรอยด์ มีโปรไฟล์ในลีกอังกฤษและอิตาลี มันเหมือนเป็นดาบ 2 คบ ที่มาบั่นทอนเขา เมื่อต้องออกมาเล่นบอลต่างทวีป เขาต้องได้รับการคาดหวังสูง เพราะค่าเหนื่อยค่าจ้างค่าเซ็นสัญญามีมูลค่าสูง เจ้าของเงินต้องการเห็นเขามายกระดับทีม ตรงนี้แหละที่เขารับมือมันไม่ได้ ตลอดระยะเวลา 10 เดือน แถมในช่วงที่สโมสรปล่อย ธีรศิลป์ แดงดาไปให้อัลเมเรีย ยืมตัวเขายังเล่นไม่เข้ากับแท็คติกโค้ชอีก 3.ความผิดหวังจากไทยลีกผลักดันให้เปรี้ยงที่จูบิโล่ หลังไปไม่รุ่งในไทยลีกแถมโดนชำแหละว่าเป็นดีลที่ล้มเหลวของเมืองทอง ในฐานะแข้งนอก อดีตเด็กฝึกหัดอาร์เซน่อล ไปมีทดสอบฝีเท้าในญี่ปุ่น ลีกที่ว่ากันว่านิยมแข้งนอกพวกบราซิเลี่ยน และไม่ค่อยสนใจนักเตะเมืองผู้ดีแบบเขาสักเท่าไหร่ 3-4 สัปดาห์จากการเทสต์ ฟอร์มดันไปเขาตา ฮิโรชิ นานามิ กุนซือจูบิโล่ อิวาตะในเวลานั้น ที่ชื่นชอบสไตล์การเล่นของหัวหอกร่างยักษ์ที่แม้จะรูปร่างสูง แต่เล่นบอลกับพื้นได้ดี เขาตอบแทนความไว้วางใจสโมสรตะบันไป 20 ลูกพาทีมดังจากชิสึโอกะ เลื่อนชั้นกลับคืนสู่เจลีกในปี 2016 และซัลโวในลีกสูงสุดไปอีก 14 ประตู 4.วัฒนธรรมในลีกญี่ปุ่นสร้างแรงจูงใจได้มาก เจย์ โบธรอยด์ มาเจลีกในฐานะแข้งที่ล้มเหลวจากไทยลีกแถมอายุก็เยอะในเวลานั้นไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะปักหลักโลดแล่นในลีกแห่งนี้ได้จริง แต่ผลงานที่จูบิโล่ อิวาตะ กลับช่วยให้เขากลับมามีชื่ออีกครั้งในวงการลูกหนัง จนสื่อในอังกฤษต้องตามมาทำข่าวและสกู๊ปอยู่เป็นระยะ วัฒนธรรมฟุตบอลในญี่ปุ่นเสริมสร้างแรงจูงใจให้กองหน้าวัยใกล้เลข 40 อย่างเขามีแรงกระหายอีกครั้งหนึ่ง นักบอลญี่ปุ่นจะมีความเป็นมืออาชีพดูแลร่างกายได้ดี คุณไม่สามารถหาจากลีกอื่นได้ เคนโงะ นางามูระ, ยาสึฮึโตะ เอ็นโดะ ยังลงเล่นเต็ม 90 นาที ทั้งที่เพื่อนร่วมรุ่นหลายคนแขวนสตั๊ดเลิกเล่นไปหมดแล้ว ยิ่ง เจย์ โบธรอยด์ อยู่ในลีกญี่ปุ่นเขายิ่งเข้าใจขนบธรรมเนียมฟุตบอลแดนซามูไร ดูแลร่างกายเพื่อให้ยืนหยัดให้นานสุด เรียกว่ามีไฟอีกครั้งตอนบั้นปลาย 5.แท็คติกซัปโปโรเอื้อศักยภาพให้เจย์ โบธรอยด์มากกว่าเดิม ตอนที่คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เซ็นสัญญาเขาเมื่อช่วงเลก 2 ปี 2017 ต้องการประสบการณ์เพื่อเอามาประคองทีม และด้วยเม็ดเงินภายในสโมสรไม่ได้มีมากมาย ทำให้จะไปมองหาแข้งนอกเกรดเอมาช่วยทีมคงเป็นเรื่องยาก แต่เขากลับพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คุณภาพยังมีเหลือล้น โดยเฉพาะบอลที่ออกจากเท้าถนัดข้างซ้ายนั้นไว้เนื้อเชื่อใจได้ เขาเป็นคีย์แมนหลักช่วยทีมเอาพ้นการตกชั้นในปี 2017 ยิงไป10 ลูก และ จ่ายไปอีก 3 แอสซิสต์ จนกระทั่งการเข้ามาของมิไฮโล เปโตรวิช ที่ปรับจูบทีมใหม่ ทำให้เจอสูตรที่ลงตัวคือ เจย์ โบ, ชนาธิป เคน โทคูระ, โคจิ มิโยชิ ในปี2018 แม้จะอายุอานามมากยิ่งขึ้น แต่เขายิ่งเล่นยิ่งเข้ากับแท็คติกของสโมสร จนกลายเป็นคนสำคัญที่ทีมขาดไม่ได้เสียแล้ว
logoline