เมื่อพูดถึงนักเตะที่ชื่อว่า ราเวล มอร์ริสัน เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนคงนึกถึงความความผิดพลาดในการดำเนินชีวิต และความยอดเยี่ยมบนพื้นหญ้าที่ผู้คนในวงการที่มีโอกาสร่วมงานต่างยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแข้งที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ และน่าจะเติบโต ก้าวขึ้นมาประดับวงการลูกหนังให้แฟนบอลได้ยลโฉมความสวยงามมากกว่านี้
แต่ทว่านักฟุตบอลอาชีพ คุณจะหวังพึ่งแต่พรสวรรค์ที่ฟ้าส่งลงมาให้อย่างเดียวไม่ได้ ถ้าคุณหวังจะก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ของวงการมันต้องอาศัยวินัยขั้นสูง และการเอาใจใส่ต่อสิ่งที่ได้มา พร้อมกับการพัฒนาอย่างไร้ขีดสุด ซึ่งทั้งหมดมันแทบไม่มีอยู่ในตัวของเด็กดาวรุ่งสีเสื้อ แมนฯ ยูไนเต็ด ในวั้นนั้นเลยสักนิดเดียว
ขอย้อนความกลับไปตอนที่ มอร์ริสัน ยังเป็นเด็กสักนิด เจ้าตัวลืมตาทักทายโลกที่เมือง แมนเชสเตอร์ ก่อนที่ให้หลังอีก 16 ปี เจ้าตัวได้เซ็นสัญญากับทีมเยาวชนของ "ปีศาจแดง" ซึ่งความพัฒนาที่แทบจะก้าวกระโดดนำหน้าเพื่อนร่วมรุ่นอยู่หลายก้าว ทำให้ มอร์ริสัน ได้รับโอกาสก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่รวดเร็วกว่าที่คิด
โดยเกมนัดแรกกับทีมชุดใหญ่ แมนฯ ยูไนเต็ด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2010 ในเกมลีก คัพ ที่ทีมเอาชนะ วูลฟ์แธมป์ตัน 3-2 ซึ่งชัยชนะนั้นไม่ได้สำคัญเท่าโอกาสของเด็กวัย 17 ปี ในวันนั้น มอร์ริสัน ถูกส่งลงสนามแทบจะวินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน แต่นั้นมันแสดงให้เห็นแล้วว่าพรสวรรค์ บวกกับฝีเท้าของเขามันเจิดจรัสจนยอดกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มองเห็น และหยิบขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ และปล่อยลงสนามชิมลางกับบรรยากาศ
นอกจากนั้นเขายังเป็นหนึ่งในขุมกำลังหลักในการพาทัพ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดเล็กคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ 2011 ซึ่งในทีมชุดนั้นมีแข้งที่ก้าวขึ้นมาประดับวงการได้อย่าง ปอล ป็อกบา และเจสซี่ ลินการ์ด แต่อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้น "ป๋าเฟอร์กี้" ก็บอกว่าไอ้เด็กคนนี้มันมีของเหนือแข้งคนอื่น
"แกสองคนดูไอ้เด็กคนนี้เอาไว้ให้ดีนะ มันเก่งกว่าพวกแกตอนอายุเท่ากันซะอีก" นี่คือหนึ่งในคำพูดของ ป๋าเฟอร์กี้ ที่กล่าวผ่าน 2 แข้ง แมนฯ ยูไนเต็ด อย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เวย์น รูนี่ย์
นอกจากนั้นยังมีคำชมจากแข้งหลายคนที่กล่าวยกย่องเจ้าหนูคนนี้ว่าเปี่ยมไปด้วยความยอดเยี่ยมในตัว
ริโอ เฟอร์ดินานด์ : "นี่คือดาวรุ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต คุณรู้สมัย ว่าสมัยเป็นนักเตะเยาวชนอยู่ที่ ยูไนเต็ด เขาคือคนที่โดดเด่นมากที่สุด แม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นอย่าง ยานาไซจ์, ลินด์การ์ด รวมไปถึง ป็อกบา ที่พากันมองเขาอย่างเทิดทูนทุกครั้งที่เขาเล่นกับลูกฟุตบอล มองแบบว่า ว้าว นั่นไง! ราเวล มอร์ริสัน"
แกรี่ เนวิลล์ : "ราเวล เป็นตัวหลักในแดนกลางของทีมอะคาเดมี่ในตอนนั้นร่วมกับ ปอล ป็อกบา, เจสซี่ ลินการ์ด และ ไรอัน ทันนิคลิฟฟ์ แต่เจ้านี่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเกมได้เลยทีเดียว"
เวย์น รูนี่ย์ : "ผมจำได้ว่าได้ดู มอร์ริสัน และคิดว่าเขามีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับนักเตะในตำแหน่งของเขา, เขาเคยแตะบอลลอดขา วิดิช 3 ใน ครั้งใน 1 นาที ระหว่างการฝึกซ้อม"
"แต่ปัญหาของเขาคือวิถีการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อมของเขา มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเขา เพราะผมเห็น ปอล ป็อกบา และ เจสซี่ ลินการ์ด ผู้เล่นเหล่านั้น มอร์ริสัน ดีกว่าอยู่ 1 ไมล์"
[caption id="attachment_113532" align="aligncenter" width="1280"]
ราเวล มอร์ริสัน ในวันที่เป็นดาวรุ่งเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์[/caption]
แต่ทว่าอย่างที่กล่าวไปพรสวรรค์ที่เขามี มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตนักฟุตบอลก้าวไปข้างหน้าแต่อย่างใด
ย้อนกลับไปช่วงปี 2008 ก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นเด็กในสังกัดของ แมนฯ ยูไนเต็ด มอร์ริสัน เคยถูกตำรวจรวบตัว และกล่าวตักเตือนมาแล้วในกรณีที่เจ้าไปใช้กำลังในทางที่ผิด ก่อนที่หลังจากนั้นอีก 3 ปี เรื่องวุ่นวายนอกสนามก็มากวักมือเรียกอีกครั้ง มอร์ริสัน รอดจากการนอนคุกอีกครั้งจากข้อหาข่มขู่พยานในคดีปล้น ซึ่งมันร้ายแรงมากพอควร
แต่ทว่านั้นไม่ใช่วีรกรรมสุดท้าย ถัดจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน เขาต้องเดินทางไปขึ้นศาลเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีที่ทำร้ายร่างกายแฟนสาว ซึ่งนั้นเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายกับทาง แมนฯ ยูไนเต็ด จนทีมต้องจำใจปล่อยแข้งดาวรุ่งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่าดีที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยได้เห็นมาออกจากทีมไป
"มันมีเรื่องน่าเศร้า ตัวอย่างของนักเตะที่มีพื้นฐานอย่าง กิ๊กส์ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่มีพรสวรรค์สุดยอด แค่ไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่งที่จะผ่านความเจ็บปวดในวัยเด็กมากพอ ควบคุมปิศาจในตัวเองไม่ได้ กรณีของ ราเวล มอร์ริสัน น่าเศร้าที่สุด"
"เขาคือดาวรุ่งที่มีพรสรรค์มากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เราเคยเซ็นสัญญาด้วย ความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกับ ไรอันกิ๊กส์ หรือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เลยทีเดียว"
"แต่สภาพจิตใจของเขานั้นมันไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับปมในวัยเด็ก เขาควบคุมปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาไม่ได้ ปัญหานอกสนามที่ต่อเนื่องทำให้เรามีทางเลือกไม่มาก จนท้ายที่สุดเราต้องปล่อยตัวเขาออกไป" ป๋าเฟอร์กี้ กล่าวผ่านหนังสืออัตชีวประวัติ LEADING เมื่อปี 2015
ซึ่งการที่ต้องเก็บกระเป๋าออกจาก แมนเชสเตอร์ เปรียบได้ดั่งการประทับตราว่าต่อจากนี้เอ็งจะกลายเป็นแข้งพเนจร ที่จะโยกย้ายสโมสรใหม่อยู่เรื่อย
โดย เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คือสถานีแรกของเจ้าตัวที่ทางฝั่ง "ป๋าเฟอร์กี้" หมายมั่นจะให้ แซม อัลลาไดซ์ ตบกลับเข้ามาอยู่ในร่องในรอยอีกครั้ง
"เด็กคนนี้เป็นนักฟุตบอลที่เก่งมาก มีพรสวรรค์เต็มตัว และสามารถก้าวไปสู่ระดับสูงสุดได้เลย แต่เขาจำเป็นต้องไปจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น" เฟอร์กี้ กล่าวกับ อัลลาไดซ์
[caption id="attachment_113533" align="aligncenter" width="1280"]
ราเวล มอร์ริสัน เมื่อครั้งย้ายไปร่วมทัพ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด[/caption]
โดย มอร์ริสัน เริ่มต้นกับทาง เวสต์แฮม ได้อย่างยอดเยี่ยมพอสมควร จนถึงขั้นถูกเรียกไปติดทีมชาติอังกฤษชุดอายุไม่เกิน 21 ปี แต่สุดท้ายภาพซ้ำก็เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง พฤติกรรมห่ามๆ นอกสนามวนกลับมาเมื่อเขาโพสต์ทวิตเตอร์ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว จนเป็นที่มาในการโดนเอฟเอสั่งปรับเงินจำนวน 70,000 ปอนด์ และถูกคาดโทษต่อไป
ซึ่งผลงานกับ เวสต์แฮม ถ้าพูดถึงผลงานบนสนามก็ถือว่าสอบผ่านแบบเฉียดฉิว แต่ถ้านำมาบวก-ลบ กับพฤติกรรมนอกสนามแล้วใช้คำว่า "น่าผิดหวัง" ก็จะไม่มากเกินไป โดยสัญญา 3 ปีครึ่งที่ทาง "ขุนค้อน" มอบให้นั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นการถูกปล่อยยืมตัวไม่ว่าจะเป็นกับ เบอร์มิงแฮม, ควีนพาร์ค เรนเจอร์ และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จนกระทั่งหมดสัญญากับทีมไปหลังจบฤดูกาล 2014-15
จนกระทั่ง ลาซิโอ เป็นผู้ที่เข้ามาอุ้ม มอร์ริสัน โดยจัดการเซ็นสัญญาดึงตัวมาร่วมทีม แต่แล้วเขาก็ยังไม่อาจฉวยโอกาสครั้งสำคัญนี้ไว้ได้ พฤติกรรมที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ทำให้ชีวิตของเขาที่อิตาลีนั้นบากลำบากเป็นทวีคูณจากเดิมที่สื่อสารไม่ได้ ไม่เข้าภาษาอิตาลีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้สุดท้ายต้องระเกินกลับไปที่ ควีนพาร์ค ในฐานะแข้งยืมตัวอีกครั้ง ก่อนตระเวนไปค้าแข้งกับ แอตลาส สโมสรในประเทศเม็กซิโก
[caption id="attachment_113534" align="aligncenter" width="1280"]
เมื่อครั้งโยกย้ายไปค้าแข้งที่ เม็กซิโก[/caption]
หลังจากถูก ลาซิโอ ปล่อยตัว เขาก็ตระเวนค้าแข้งไปเรื่อย ซึ่งในแต่ละที่นั้นเจ้าตัวก็ค้าแข้งได้ไม่นานไม่ว่าจะเป็น เอิสเตอร์ซุนด์ ในประทเศสวีเดน ก่อนกลับมายังอังกฤษกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และปล่อยยืมตัวไปให้ มิดเดิลสโบรห์ ยืมตัวในขณะนี้
และแล้วเมื่อมาถึงวันนี้ มอร์ริสัน ก็ออกมายอมรับว่ารู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่ผ่านมาแบบสุดขั้วหัวใจ ว่าพฤติกรรมในวัยห่ามตอนนั้นมันทำลายเส้นทางสายลูกหนังที่มันควรจะเจริญก้าวหน้า และพัฒนามากขึ้นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นบางคน "ผมจะกล่าวถึงว่าผมเจอปัญหาเรื่องแรงกดดัน เพราะผมไม่ได้รู้สึกกดดัน แต่มันมีบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตผมเมื่อสมัยเด็กๆ ตอนนี้ผมมานั่งคิดดู ผมคงจะไม่ทำแบบนั้น หรือเลือกเส้นทางนั้นเลย"
"การได้อยู่กับสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณจะเจอสภาพแวดล้อมที่ดีดีเยี่ยมในทุกวัน มีนักเตะระดับโลก แค่สนุกไปกับมัน ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ มีหลายสิ่งที่ผมจะเปลี่ยนแปลง"
บทสรุปสุดท้ายการขึ้นรถไฟเหาะเที่ยวนี้กว่า 27 ปี ที่รู้จักกับโลกใบนี้ของเด็กหนุ่มอย่าง ราเวล มอร์ริสัน คงเป็นข้อคิดที่ติดตัวเขาไปตลอด เราคงไปตัดสินแทนเขาไม่ได้ว่าสิ่งที่ผ่านมามันควรจะเป็น หรือเดินเส้นทางไหน แต่มันคงเป็นเรื่องราวที่จะคอยสั่งสอนคนทุกเพศ และทุกวัยได้เป็นอย่างดี
หนึ่งในดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ด้านลูกหนังมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ... ราเวล มอร์ริสัน
ติดตามไลน์ขอบสนามเพิ่มเติม