logo-heading

ว่ากันว่านักบอลฝีเท้าดีในบ้านเรามักซุกซ่อนอยู่ตามต่างจังหวัด บางครั้งคนมีความสามารถ บางทีต้องเสาะแสว่งหาโอกาสเข้ามาสู้ชีวิตในเมืองหลวง

ศรายุทธ ชัยคำดี ไอ้หนุ่มจากขอนแก่น ก็เป็นแบบนั้น เขาจากบ้านเกิดในขณะอายุ 18 ปี เพื่อมาหาโอกาสเล่นฟุตบอลกับทีมดังอย่างทหารอากาศ แน่นอนว่าในเวลานั้นนี่คือคลับลูกหนังแถวหน้าวงการลูกหนังไทย เนื่องจากเป็นทีมข้าราชการถ้าหากทำผลงานเข้าตาสต๊าฟฟ์โค้ชก็มีสิทธิ์ต่อยอดสู่การติดยศข้าราชการรับใช้กองทัพอากาศเหมือนที่นักบอลรายอื่นๆประสบความสำเร็จ "โจ้" ศรายุทธ ไปคัดตัวติดทีมเยาวชนทหารอากาศ ลงแข่งขันบอลถ้วยพระราชทานควีนส์ คัพ ทว่าเขาประสบปัญหาในการไต่เต้าขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในการลงเล่นไทยลีก ทำให้ต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากดอนเมืองมายังคลองเตย ซึ่งในครั้งนี้คือการไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามคำชักชวนจากรุ่นพี่ชาวขอนแก่น อย่าง ปิติพงษ์ กุลดิลก ศรายุทธ  ใช้เวลาคัดตัวกับ"น้ากอ" ดาวยศ ดารา กุนซือทีมดังย่านคลองเตย ในเวลานั้น ก่อนจะได้รับโอกาสเป็นขุนพลสิงห์เจ้าท่า ในช่วงปี 2001 "โจ้" ใช้เวลา 1 ปีสร้างชื่อจากดาวรุ่งโนเนมขยับตัวเองขึ้นมาเป็นดาวยิงไทยลีก เมื่อซัลโวไป 12 ประตู ในซีซั่น 2002-03 จากผลงานดังกล่าว ส่งผลให้ เขาได้รับโอกาสติดทีมชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นคิงส์ คัพ 2002 , คัดเลือกโอลิมปิก เกมส์ 2004 และ ทัวร์นาเมนต๋สร้างชื่ออย่างซีเกมส์ 2003 ที่เวียดนาม ซึ่งในรายการหลังยิงไป 9 ลูก จนได้รับฉายาจากผู้สื่อข่าวกีฬาในยุคนั้น ว่าโจ้ 5 หลา เนื่องมาจากประตูที่ทำได้ส่วนใหญ่มาจากกรอบเขตโทษ จากนั้นฟอร์มของ ศรายุทธ ก็ท็อปฟอร์มเรื่อยๆ เมื่อผงาดคว้าดาวยิงสูงสุดไทยลีกในปี 2004-05 แม้จะเริ่มมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอล แต่ด้วยค่าตอบแทนในไทยลีกที่ได้น้อย และนักเตะส่วนใหญ่ ต้องออกไปเล่นบอลเดินสายเพื่อเลี้ยงชีพเป็นหลัก ท้ายที่สุด "โจ้" จึงได้รับคำชักชวนจากรุ่นพี่ในนามทีมชาติ ให้ย้ายไปเล่นบอลอาชีพที่เวียดนาม ศรายุทธ ได้รับการเซ็นสัญญากับบินห์ เดือง เป็นเวลา 2 ปี พร้อมค่าตอบแทนร่วมๆ 1 แสนบาท กระทั่งหมดสัญญาเขากลับมารับใช้การท่าเรือ ในปี 2007 ยิง 6 ประตู พาทีมเอาตัวรอดในไทยลีกไปได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ขวบปี 2008  อาจารย์อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ อดีตสต๊าฟฟ์โค้ชทีมชาติไทยย้ายไปทำทีมโอสถสภา จึงชักชวน โจ้ 5 หลา มาร่วมทีม โดยที่เขาตอบแทนความไว้วางใจจากผู้บริหารพลังเอ็ม ซัลโวไป 21 ประตู ตลอดระยะเวลา 2 ปี แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในการลุ้นแชมป์ลีก แต่ผลงานส่วนตัวถือว่าน่าพอใจ ในช่วงปี 2010 สะสม พบประเสริฐ โค้ชการท่าเรือ มองหากองหน้าคนไทยคนใหม่ที่จะเข้ามาทดแทน การจากไปของ พิพัฒน์ ต้นกันยา ที่ย้ายไปเล่นในอินโดนีเซีย และ ศรายุทธ คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ แท็คติกของ โค้ชเตี้ย พร้อมกับโอกาสที่ได้ลงเล่นฟุตบอลสโมสรเอเชีย อย่างเอเอฟซี คัพ 2010 การหวนคืนบ้านเก่าเป็นคำรบที่ 3 กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ "โจ้" โชว์ฟอร์มได้ไฉไลยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการรับบทบาทกัปตันทีม เป็นหัวใจสำคัญในเกมรุก ยิงประตู เล่นลูกตั้งเตะ โดยที่ยิงไป 13 ประตู พาสโมสรจบอันดับ 4 ไทยลีก ซิวแชมป์ลีก คัพ พร้อมกับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แถมยังได้รับโอกาสกลับไปติดทีมชาติไทย ในซูซูกิ คัพ 2010 เมื่อมีผลงานที่จับต้องได้ ศรายุทธ ได้รับความสนใจจากเมืองทอง ยูไนเต็ด ทว่า เจ้าตัวเลือกย้ายไปอยู่บางกอกกล๊าสที่ให้ค่าตอบแทนที่มากกว่าแทน โจ้ พบช่วงเวลาที่ดีและไม่ดีพร้อมๆกัน ในปี 2011 เริ่มแรกเขาคือกองหน้าเบอร์ 1 ของทีม เลกแรกไทยลีก ยิงไป 12 ประตู ขึ้นแท่นดาวยิงสูงสุดไทยลีก ทว่าหลังมีการเปลี่ยนแปลงโค้ชจากอาจหาญ ทรงงามทรัพย์ มาเป็น สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ เขาไม่ได้รับการการันตีตำแหน่งตัวจริงอีกต่อไป และมันส่งผลต่อผลงานในสนามของเขาชัดเจน เมื่อจบซีซั่น 2011 เขาตัดสินใจย้ายทีมอีกรอบ เมื่อถูกอาร์มี่ ยูไนเต็ด ซื้อตัวไปร่วมทีมในราคา 2 ล้านบาท ทว่าผลงานของ "โจ้" ดร็อปลงเรื่อยๆ เล่นไม่เข้าระบบทีม ยิงได้แค่ 2 ประตู และอยู่กับทีมได้เลกเดียว ก่อนจะถูกปล่อยไปให้อยู่กับบางกอก เอฟซี ตามคำชักชวนของเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทว่าการลงไปเล่นดิวิชั่น 1 ครั้งแรก ผลงานก็ไม่ได้ดีไปกว่าตอนเล่นอยู่กับอาร์มี่ และเมื่อจบฤดูกาล 2012 บีอีซี เทโรศาสน จึงตัดสินใจเซ็นสัญญา โจ้ 5 หลา เพื่อเป็นอะไหล่ให้เคลตัน ซิลวา แต่เจ้าตัวมีส่วนร่วมแค่เกมเดียว และถูกปล่อยให้สมุทรสงคราม เอฟซี ยิมตัว ทว่าฟอร์มก็แย่หนัก เขาประสบปัญหาเรื่องทัศนคติ และเล่นไม่ได้อย่างที่บอร์ดบริหารคาดหวังเอาไว้ จนโดยปล่อยตัวออกจากทีมอีกรอบ ด้วยอายุอานามของ ศรายุทธ ที่เพิ่มมากขึ้นและโปรไฟล์ในช่วง 2-3 ปีหลังที่ตกลงไปเรื่อยๆทำให้ ไม่มีสโมสรไหนอยากเซ็นสัญญากับเขาเลย ปลายเดือนธันวาคม 2013 โค้ชตู่ พนิพล เกิดแย้ม กุนซือศรีสะเกษ กำลังเฟ้นหานักเตะมาร่วมทีมลงเล่นไทยลีก 2014 จึงเซ็นสัญญาเจ้าตัวมาร่วมทีม เพื่อช่วยกูปรีอันตรายต่อกรกับทีมชั้นนำในไทยลีก แม้ว่าจะโดนสบประมาทว่าแข้งหมดไฟไปแล้ว แต่กลับมาแจ้งเกิดได้อีกคำรบซัลโวไป 9 ประตู และจารึกชื่อในฐานะแข้งไทยรายที่ 2 ที่ยิงประตูในไทยลีกครบ 100 ลูก ต่อจากพิภพ อ่อนโม้ หลังระเบิดฟอร์มยิงแฮตทริกใส่ทีมเก่าอย่างบีอีซี เทโรศาสน ในเกมที่ชนะไป 3-2 ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่ดีสุดของเขากับทีมดังเมืองลำดวน และนั้นคือการสัมผัสเวทีระดับลีกสูงสุดหนสุดท้ายของ ศรายุทธ ชัยคำดี เพราะหลังจากนั้นแข้งรายนี้ก็ลดระดับตัวเองไปเล่นให้แอร์ฟอร์ซ, ขอนแก่น ยูไนเต็ด และชัยนาท ฮอร์นบิล ก่อนจะปิดฉากชีวิตการค้าแข้งในปี 2017 พร้อมสถิติยิงประตูในไทยลีกทั้งสิ้น 101 ประตู น่าเสียดายที่ตลอดการเป็นนักบอลอาชีพ โจ้ ไม่เคยได้สัมผัสโทรฟี่แชมป์ไทยลีก เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางไลน์ขอบสนาม ศรายุทธ ชัยคำดี ตำนานผู้ไม่เคยได้แชมป์ไทยลีก
logoline