logo-heading

บางครั้งชีวิตมนุษย์เราเวลาจะทำอะไรประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นโดยนำบทเรียนความผิดพลาดจากครั้งแรกมาเป็นพลังชีวิตในการเดินหน้าสู้กับอุปสรรค

สุเชาว์ นุชนุ่ม เด็กหนุ่มจากอำเภอไทรโยก ในจังหวัดกาญจนบุรี ที่ชีวิตเริ่มต้นกับการเรียนหนังสือ โดยหาเงินที่ได้มาจากการหาเลี้ยงตัวเองในการชกมวย ตั้งแต่เด็ก พร้อมฉายาว่า “กบน้อย ส.สกุลภัณฑ์” ทว่าชีวิตบนสังเวียนผ้าใบปิดฉากอย่างรวดเร็วในวัย 15 ปี ขณะที่อยู่ชั้นม.3 กับโรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา เพราะค่ายมวยที่สังกัดนั้นประสบปัญหาเรื่องเงิน ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงไปทำอย่างอื่น ในทีแรกเขาไปทำเกษตรให้ที่บ้าน และเริ่มเตะฟุตบอลกับวิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี เนื่องจากครูเห็นว่าเป็นนักมวยเก่าน่าจะมีประโยชน์ในเรื่องความฟิตเวลาไล่ล่าลูกบอลในสนาม. หลังจากนั้นเขาได้รับคำแนะนำจากคุณพ่อของปฏิภาณ เพชรพูล ที่เวลานั้นเป็นนักบอลของทีมองค์การโทรศัพท์ลงเล่นไทยลีก ว่าจะมีการคัดตัวแข้งเยาวชนของสโมสรเพื่อลงแข่งรายการพานาโซนิค ควีนส์ คัพ "กบ" สุเชาว์ ในวัย 18 ปี พร้อมกับเพื่อนสนิทอย่าง "เดี่ยว" สุขสำราญ ปรางทอง จึงหอบหิ้วกระเป๋าจากกาญจนบุรี เข้าสู่นนทบุรี เพื่อมุ่งหน้าไปคัดตัวไปที่งามวงศ์วาน 17 เพื่อทดสอบฝีเท้า ทว่าเบสิคฟุตบอลที่ไม่ได้โดดเด่นสักอย่าง ทำให้เขาโดนคัดชื่อออก ผิดกับเพื่อนที่มาด้วยกันอย่าง สุขสำราญ ที่มีชื่อมาฝึกซ้อมกับทีมเยาวชน ในระหว่างที่ กบ สุเชาว์ กำลังจะเดินออกจากสนาม สมฤทธิ์ อ่อนสมจิตร สต๊าฟฟ์โค้ชถามเขาว่า "เองจะไปไหน" ก็พี่ไม่เอาผมนี่ครับ สุเชาว์ ตอบกลับ ก่อนจะรั้งหนุ่มนักมวยเก่าไว้ เพื่อรอพบ "โค้ชก็อก" พงษ์พันธ์ วงษ์สุวรรณ หัวหน้าสต๊าฟฟ์โค้ชทีโอที เพื่อเป็นคนตัดสินใจว่าจะเก็บเอาไว้ หรือจะให้ปล่อยกลับบ้าน สุดท้าย "โค้ชก็อก" เห็นหน่วยก้านดีจึงเก็บ สุเชาว์ ไว้ และมอบหมายให้ "โค้ชต้น" สมฤทธิ์ เป็นคนฝึกสอนเบสิคทักษะลูกหนังใหม่ทั้งหมด เพราะในเวลานั้น "เจ้ากบ" มีแต่ความแข็งแรงเท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะลงเล่นไทยลีก สุเชาว์ มีชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่สโมสรองค์การโทรศัพท์ แต่ทำหน้าที่เด็กเก็บบอล ซ้อมกับทีมชุดใหญ่ โดยที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจาก "โค้ชต้น" สมฤทธิ์  ที่สอนพื้นฐานการเล่นฟุตบอลทุกอย่าง และพาไปเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตในเมืองหลวงทั้งการเข้าสังคม การวางตัวทุกอย่าง การเขี่ยวเข็ญ 3 ปีเต็ม ทำให้สุเชาว์ มีทั้งความแข็งแกร่งเวลาครอบครองบอล จังหวะการยิงไกลจากแถวสองที่เป็นทีเด็ดของเขา จนก้าวมาเป็นตัวหลักของสโมสร แม้ว่าต้นสังกัดจะหล่นไปเล่นดิวิชั่น 1 แต่ฝีเท้าของ "กบ" สุเชาว์ ดันไปเข้าตา "โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน เรียกตัวมาฝึกซ้อมกับทีมชาติไทยกีฬามหาวิทยาลัยโลก เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ประเทศตุรกี และติดทีมซีเกมส์ ชุดเหรียญทอง 2548 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ลงเล่นในตำแหน่งปีกขวาประสานงานเกมรุกและรับร่วมกับสุรีย์ สุขะ และรักษาตำแหน่งในทีมชาติเรื่อยมาทั้ง แชมป์คิงส์คัพ (2549,2550) , ชุดเอเชียน เกมส์ 2549 และเอเชียน คัพ 2550 ซึ่งหลังจากทัวร์นาเมนต์นั้น เขาได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและแฟนบอลมากมาย โดยเฉพาะสาวๆ เมื่อมีชื่อเสียงเป็นตัวหลักทีมชาติไทย แน่นอนว่าสโมสรอย่างทีโอทีมันคงดูเล็กเกินไปสำหรับ สุเชาว์ แต่ทว่าหลายๆครั้ง กบ ก็เลือกปฏิเสธข้อเสนอหลายๆสโมสรไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บีอีซี เทโรศาสน ที่คุณไบรอัน แอลมาร์คาร์ อยากได้ไปร่วมทีม ถึงขนาดมาสู่ขอหลังจบเกมในสนามแข่งขันเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าเจ้าตัวปฏิเสธที่จะไปเนื่องจากไม่อยากทิ้งทีม และต้องการตอบแทนบุญคุณสโมสรที่ให้โอกาสตัวเองให้มีชื่อเสืองมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้น สุเชาว์ ขออนุญาติโค้ชก็อก ไปสัมผัสประสบการณ์ลูกหนังในต่างประเทศ เมื่อ โยกไปอยู่กับ เปอร์ซิบ บันดุง ของอินโดนีเซีย เป็นเวลา 3 เดือน และกลับมายังเมืองไทย ทว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อ เนวิน ชิดชอบ มีความคิดจะทำทีมทีโอที ทว่าการเจรจาเทคโอเวอร์ไม่ลงตัว และเปลี่ยนเป้าหมายไปเอาสิทธิ์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทน พร้อมกับดึงตัว "โค้ชก็อก" มาทำทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ  กบ สุเชาว์ ที่เวลานั้นเป็นตัวหลักทีมชาติ จึงตามไปร่วมทีมด้วย และปิดฉากชีวิต 6 ปีในสีเสื้อทีโอที 91 นัดในไทยลีก ยิงไป 21 ประตู การมาอยู่กับบุรีรัมย์ เปลี่ยนแปลงชีวิตสุเชาว์ นุชนุ่มเป็นอย่างมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือ นักบอลที่มีรายได้ไม่เยอะในระดับไทยลีก และอยู่กับทีมกลางตารางค่อนไปทางหนีตกชั้นซะด้วยซ้ำ ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสลุ้นแชมป์อะไรกับเขา ให้กลายเป็นนักบอลระดับซุปตาร์ของทัพปราสาทสายฟ้า และมีเอี่ยวลุ้นแชมป์ทุกเมเจอร์ในประเทศ และได้ไปเล่นฟุตบอลสโมสรเอเชีย อย่างเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก แทบทุกฤดูกาล 10 ซีซั่นกับบุรีรัมย์ 156 เกม ยิงไป 41 ประตู คว้าแชมป์ไทยลีก 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 5 สมัย, ถ้วยพระราชทานก. 4 สมัย, ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 1 สมัย, โตโยต้า พรีเมียร์ คัพ 3 สมัย, แม่โขง คัพ 2 สมัย ได้ลงเตะเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก  7 ครั้ง และปัจจุบัน กบ ไซเบอร์ หวนคืนบ้านเกิดมาค้าแข้งให้ทีมเมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ในระดับไทยลีก 3 พ่วงตำนานกัปตันทีม แน่นอนว่าไฟของสุเชาว์ ยังไม่หมดเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าในเวลา 3 ปี จะพาอู่ข้าวอู่น้ำแห่งนี้เลื่อนชั้นไปสัมผัสเวทีลูกหนังลูกสูงสุดแดนสยามอย่างไทยลีกให้ได้สักครั้ง ก่อนที่ "พี่กบ" จะอำลาวงการไปทำการเกษตรที่อำเภอไทรโยกแบบที่เขาตั้งใจเอาไว้ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline